วันที่ 31 สิงหาคมของทุกปี ถือเป็นวันตระหนักถึงการใช้ยาเกินขนาดสากล (International Overdose Awareness Day) โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการป่วยรวมถึงการเสียชีวิตที่เกิดจากการใช้ยาเกินขนาด ซึ่งแม้จะฟังดูไกลตัว แต่เกิดขึ้นได้กับทุกคน
วันตระหนักถึงการใช้ยาเกินขนาดสากลนี้ เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อ 20 กว่าปีก่อน (ในปี 2544) โดย Sally J. Finn นักเขียนชาวออสเตรเลียและ Peter Streker คนทำงานด้านสังคมและสุขภาพในออสเตรเลีย โดยได้จัดตั้งวันนี้ขึ้นสร้างความเข้าใจและมุมมองที่ถูกต้องต่อการใช้ยาเกินขนาด ลดการเสียชีวิต เพิ่มความเห็นอกเห็นใจต่อเหยื่อของเหตุการณ์ ลดการตีตราจากสังคม เพราะการใช้ยาเกินขนาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน
ถึงปีนี้ 2566 การรณรงค์เกี่ยวกับการสร้างความตระหนักถึงการใช้ยาเกินขนาด มาในธีมของ “ร่วมกันรับรู้ถึงผู้คนที่ถูกหลงลืม” หรือ “Recognizing those people who go unseen” เพื่อให้เกียรติผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่หลังผ่านการใช้ยาเกินขนาดเข้ามา “เปลี่ยนชีวิต” ซึ่งรวมถึงครอบครัว ญาติ และเพื่อนของผู้เสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดด้วย
ทุกคนสามารถร่วมกันติด #weseeyou เพื่อร่วมกันส่งเสียงสนับสนุน ส่งกำลังใจ หรือแบ่งปันประสบการณ์ และร่วมให้ความรู้ สร้างความตระหนักเพื่อผลักดันสู่ระดับนโยบายสุขภาพที่จะช่วยชีวิตของผู้คนได้
และต่อไปนี้คือ 5 ข้อควรรู้ที่จะช่วยให้คุณตระหนักถึงการใช้ยาเกินขนาดมากขึ้น
การใช้ยาเกินขนาดเกิดขึ้นได้กับทุกคน
1. การใช้ยาเกินขนาดใกล้ตัวกว่าที่คิด
การใช้ยาเกินขนาดอาจฟังดูไกลตัว เนื่องจากเหตุดังกล่าวไม่ได้ถูกระบุไว้เป็นโรคร้าย ทั้งยังไม่ได้รับการพูดถึงมากพอ แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องใกล้ที่สามารถเกิดได้จากหลากสาเหตุ เช่น การใช้ยาเกินขนาดเพื่อกระทำอัตวินิบาตกรรมหรือฆ่าตัวตาย ซึ่งเกิดจากทั้งการเป็นโรคซึมเศร้า หรือเกิดจากภาวะอารมณ์ชั่ววูบ รวมถึงการใช้ยาซ้ำซ้อนโดยไม่รู้ตัวเนื่องจากไม่รู้ถึงส่วนประกอบของยาที่กินเข้าไปว่ามีส่วนผสมที่ซ้ำซ้อนกัน
2. ใช้ “ยาลดไข้” กับ “ยาแก้แพ้” อย่างระมัดระวัง
ยาลดไข้มักจะมีพาราเซตามอลส่วนผสมหลัก ขณะที่ยาแก้แพ้นั้น บางยี่ห้ออาจมีส่วนผสมของพาราเซตามอลอยู่ ดังนั้นหากมีอาการป่วยเป็นไข้และมีอาการแพ้ด้วย การรับประทานยาลดไข้ร่วมกับยาแก้แพ้จึงต้องระมัดระวังโดยผู้รับประทานยาต้องอ่านฉลากหรือดูส่วนผสมของยาแก้แพ้ เพราะหากรับประทานยาลดไข้และยาแก้แพ้ที่มีส่วนผสมของพาราเซตมอนจะทำให้เกิดการใช้ยาเกินขนาดได้ ซึ่งผลข้างเคียงนั้นร้ายแรงถึงขั้นทำให้ไตพังได้
ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่พบแพทย์หลายคนพร้อมกัน ก็จำเป็นจะต้องแจ้งให้แพทย์แต่ละคนทราบถึงยาที่ตนเองกำลังรับประทานอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดการใช้ยาซ้ำซ้อนกันและทำให้เกิดการใช้ยาเกินขนาดได้
3. อุบัติเหตุทางการแพทย์ที่อาจเกิดขึ้นได้
สืบเนื่องจากภาระงานของแพทย์และพยาบาลที่มีมากขึ้น หลายครั้งอาจเกิดเหตุที่ทำให้มีการใช้ยาเกินขนาดได้ เพราะยาบางชนิดผิดพลาดเพียงให้แบบรับประทานกับให้แบบฉีด ปริมาณที่ให้คนไข้ต้องใช้ต่างกัน การใช้ยาเกินขนาดซึ่งเป็นอุบัติเหตุทางการแพทย์ที่ส่งผลกระทบทางสุขภาพรุนแรงอาจเกิดขึ้นกับคนไข้ได้
4. ส่วนใหญ่เกิดจาการตัดสินใจเพียงชั่ววูบ
บทความวิชาการจากวารสารสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทยเรื่อง “ลักษณะของผู้ป่วยที่กินยาพาราเซตามอลเกินขนาดและปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อภาวะเป็นพิษต่อตับรุนแรง” พบข้อมูลจากการรับการรักษาของผู้ป่วยที่กินยาพาราเซตามอลเกินขนาดที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ในช่วงระหว่างปี 2550-2559 พบว่า การใช้ยาเกินขนาดมีแรงจูงใจมาจากการฆ่าตัวตายสูงถึง 49.42 % โดยลักษณะการกินยาเป็นแบบหุนหันพลันแล่นมากถึง 91.95 %
5. ยิ่งรักษาเร็ว ยิ่งช่วยได้มาก ถึงห้องฉุกเฉินใน 8 ชม. ความรุนแรงลดลง 20 เท่า
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดนั้น สำหรับกรณีการใช้ยาพาราเซตามอลมากเกินไป มีการศึกษาพบว่า ระดับของยาพาราเซตามอลที่รับเข้าไปไม่ได้สัมพันธ์กับความรุนแรงของภาวะเป็นพิษที่เกิดขึ้น ปัจจัยสำคัญคือระยะเวลาหลังเกิดเหตุแล้วได้รับการรักษาในห้องฉุกเฉิน หากสามารถทำให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้ภายใน 8 ชั่วโมง ความเสี่ยงของภาวะพิษต่อตับรุนแรงจะลดลงได้ถึง 20 เท่า
การตระหนักถึงการใช้ยาเกินขนาดนั้นถือเป็นชุดความรู้ที่ช่วยให้ผู้คนมีความเข้าใจทั้งเพื่อตัวเอง สำหรับการใช้ยาอย่างถูกต้อง และเพื่อผู้อื่น ที่จะลดการตีตรา และมองในมุมที่เข้าใจมากขึ้น รวมถึงเพื่อผลักดันนโยบายสุขภาพเพื่อให้มีการกลไกที่ป้องกันเหตุสูญเสียที่อาจเกิดขึ้นได้
รับชมรายการที่เกี่ยวข้อง
ข้อมูลจาก