“วัตถุออกฤทธิ์ทางจิตและประสาท” กลายเป็นประเด็นขึ้นมา เพราะความกังวลจากข่าวที่ปรากฏอาจเป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งของปัญหาอาชญากรรมที่ตามมา
สืบเนื่องจากข่าวการจับกุม “แพทย์หญิงคนดัง” พบซุกซ่อนวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทจำนวนมาก ซึ่งเป็นส่วนผสมของยาควบคุมที่มีการใช้สำหรับก่อเหตุร้ายได้ Thai PBS พาทุกคนรู้จักวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทคืออะไร ? ยาควบคุมที่ถูกนำมาใช้ก่อร้ายเราจะสามารถจะรับมือป้องกันอย่างไรได้บ้าง ?
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทแต่ละประเภทคืออะไร ?
พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท มีการจัดแบ่งยาและสารตามการออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งมาพร้อมความการควบคุมตามกฎหมายโดยแบ่งเป็นประเภทตามประโยชน์ทางการแพทย์ และโทษต่อสุขภาพเพื่อการควบคุมที่เหมาะสม
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1 เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิด มีอันตรายต่อสุขภาพสูง มีประโยชน์ด้านการแพทย์น้อยหรือไม่มีการใช้ทางการแพทย์เลย ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก การนำผ่านต้องมีใบอนุญาตนำผ่าน ส่วนใหญ่มีฤทธิ์หลอนประสาท ได้แก่ Mescaline, Psilocybin, DMT, DET, Cathinone เป็นต้น
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 มีอันตรายมากและมีประโยชน์น้อยในด้านการแพทย์ มีการควบคุมทางกฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุข มีการใช้ในยา เช่น กลุ่มยาลดความอ้วน เช่น เฟนเตอร์มีน (Phentermine) กลุ่มยานอนหลับ เช่น มิดาโซแลม (Midazolam), โซฟิเดม (Zopidem) กลุ่มยานำสลบ เช่น เคตามีน (Zetamine) กลุ่มวัตถุดิบ เช่น ซูโดอีเฟดรีน (Pseudoephedine: ยาแก้คัดจมูก ยาลดน้ำมูก) ที่เป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาบ้า แต่ปกติเป็นส่วนผสมในการผลิตยาบรรเทาอาการโรคหวัด
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 3 เป็นยาที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายได้หากใช้ผิดทางในระดับปานกลาง ยาประเภทที่ 3 นี้มีโอกาสเสพติดน้อยกว่าประเภท 2 สามารถขายตามร้านขายยาได้ แต่ต้องขายตามใบสั่งแพทย์ มีการควบคุม ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นําเข้า ส่งออก หรือนําผ่าน เว้นแต่ได้รับใบอนุญาต การนําเข้า-ส่งออก ต้องมีใบแจ้ง และครอบครองได้ตามปริมาณที่กำหนดเท่านั้น
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 4 เป็นยาที่มีความอันตรายน้อย และมีประโยชน์ทางการแพทย์มาก ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย นําเข้า ส่งออก หรือนําผ่าน เว้นแต่ได้รับใบอนุญาตคล้ายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 3
ยาเสียสาว ยารักษาที่ถูกใช้ผิดทาง และไม่ควรถูกเข้าใจผิด
วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทโดยปกติมักถูกใช้ทางการแพทย์ แต่ก็นำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์จนจำเป็นต้องเฝ้าระวังและมีชื่อเรียกยากลุ่มนึงว่า “ยาเสียสาว” ซึ่งเป็นสารหรือยาที่มักจะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง โดยมากแล้วจะออกฤทธิ์เร็วและสามารถผสมได้ง่าย ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส จึงถูกไปใช้ในทางที่ผิด โดยมักจะใช้ก่อเหตุอาชญากรรมตั้งแต่การรูดทรัพย์ รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ
อย่างไรก็ตาม การเรียกยาเหล่านี้ว่า “ยาเสียสาว” แม้จะใช้ในการสื่อสารเพื่อเฝ้าระวัง แต่ก็มีด้านที่ต้องเร่งทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดการตีตรา นั่นคือ คนที่พกยาเหล่านี้ไม่ได้พกเพื่อก่ออาชญากรรม และยาเหล่านี้จำนวนมากถูกใช้เพื่อรักษา ผู้ป่วยที่มีจำเป็นอย่างสูงที่จะต้องได้รับยาเหล่านี้ เป็นยาที่มีประโยชน์และต้องสั่งจ่ายอย่างระมัดระวัง ยาในกลุ่มนี้มีอะไรบ้าง ไปดูกัน
ยามิดาโซแลม (Midazolam) หรือชื่อการค้า โดมิคุม (Dormicum) ยานอนหลับชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์เร็ว ละลายในน้ำได้ดี ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 ที่ไม่สามารถซื้อได้ทั่วไป
ยาอัลพราโซแลม (Alprazolam) เป็นยากลุ่ม benzodiazepine ในทางการแพทย์ใช้สำหรับรักษาอาการวิตกกังวล และช่วยนอนหลับภายใน 1 – 2 ชั่วโมง เคยถูกจัดให้เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 4 ก่อนมีการยกระดับการควบคุมปรับเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 แทนเพื่อการควบคุมที่มากขึ้น
ยาฟลูไนตราซีแพม (Flunitrazepam) หรือชื่อการค้า โรฮิบนอล (Rohypnol) ใช้รักษาอาการไม่นอนอย่างรุนแรง ออกฤทธิ์บรรเทาอาการวิตกกังวล ทำให้นอนหลับ สูญเสียความทรงจำชั่วขณะ และกดระบบการหายใจ จำเป็นต้องใช้ด้วยความระมัดระวังภายใต้คำสั่งแพทย์ จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2
สารจีเอชบี (GHB = gamma-hydroxybutyric acid) ในยุโรปรู้จักกันในชื่อ gamma-oh เป็นสารที่เกิดจากระบวนการเผาผลาญจองร่างกาย พบได้ในเซลล์ของมนุษย์และสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สารนี้ถูกนำมาสกัดเป็นยาสลบ ยานอนหลับ ยารักษาภาวะง่วงหลับ (narcolepsy) ใช้สำหรับช่วยในการคลอด ตลอดจนใช้รักษาผู้ป่วยโรคพิษสุราเรื้อรัง (alcoholism)
นอกจากนี้ยังมีการใช้สาร GHB นี้เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อจากที่มันมีฤทธิ์กระตุ้น Growth hormone และกระบวนการสังเคราะห์โปรตีนในร่างกาย อย่างไรก็ตาม สารตัวนี้ยังถูกนำมาใช้เป็นยาเสียสาวเนื่องจากมีการออกฤทธิ์กระตุ้นให้รู้สึกตื่นตัว และรู้สึกสนุก นำไปสู่การอยากมีเพศสัมพันธ์ ถือเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 1
ยาเค หรือ คีตามีน (Ketamine) เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด เป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2 ในทางการแพทย์ถูกใช้เป็นยาสลบหรือนำสลบด้วยการฉีดผ่านกล้ามเนื้อ แต่ถูกนำมาใช้เป็นยาเสียสายเพื่อทำให้รู้สึกมึนเมา ขาดสติ ล่องลอย ถือเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทในประเภท 2
โทษทัณฑ์ของยาเสียสาว
ยาเสียสาวถูกนำมาใช้ก่ออาชญากรรมมากมาย ผู้กระทำผิดมีโทษตามกฎหมายดังนี้
โทษของผู้กระทำความผิด ไม่ว่าจะเป็นผู้จูงใจ ชักนำ ยุยงส่งเสริม ใช้อุบายหลอกลวงหรือขู่เข็ญให้ผู้อื่นเสพ โทษจำคุก 2-10 ปี ปรับ 40,000-200,000 บาท หากกระทำต่อหญิงหรือต่อบุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ โทษจำคุก 3 ปี ถึงตลอดชีวิต ปรับ 60,000 – 500,000 บาท
โทษสำหรับผู้ครอบครองหรือใช้ประโยชน์ ยาในการควบคุม โทษจำคุก 1 – 5 ปี ปรับ 20,000 – 100,000 บาท และผู้ผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย โทษจำคุก 5-20 ปี ปรับ 100,000 – 400,000 บาท
ระมัดระวังป้องกันยาเสียสาวได้อย่างไร ?
ยาเสียสาวถือเป็นภัยร้ายที่น่ากลัว แต่ก็มีวิธีหลีกเลี่ยงป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ คำแนะนำจาก นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อระมัดระวังและสังเกตุอาการเบื้องต้น สามารถสรุปได้ดังนี้
ระมัดระวังในช่วงเวลาและสถานที่อันตราย การก่อเหตุโดยใช้ยาเสียสาวมักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนตามสถานบันเทิง มักเกิดขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและนักท่องเที่ยว มีข้อมูลพบว่าการก่อเหตุจะเกิดในช่วงเทศกาลเช่นวันวาเลนไทน์ หากจะไปเที่ยวสถานบันเทิง ควรไปกับเพื่อนที่ไว้ใจได้เพื่อสามารถขอความช่วยเหลือยามฉุกเฉิน
อย่าประมาทรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม เนื่องจากยาเหล่านี้มักผสมมากับเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะทำเป็นน้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ การระมัดระวังไม่รับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มจากคนแปลกหน้า รวมถึงหากไปเข้าห้องน้ำ ก็ระมัดระวังการดื่มน้ำในแก้วเดิม แม้แต่น้ำในภาชนะหรือบรรจุภัณฑ์ ต้องดูร่องรอยเพราะอาจมีการเจาะเพื่อลักลอบวางยาได้
สังเกตอาการเพื่อรับมือ เนื่องจากยากลุ่มนี้มักทำให้เกิดอาการง่วงนอน มึนงง คลื่นไส้อาเจียน เดินเซ เคลื่อนไหวรวมถึงหายใจลำบาก มีอาการคล้ายเมาแม้ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอร์ ซึ่งหากได้รับในขนาดที่สูงมากอาจทำให้เกิดการกดการทำงานของหัวใจ กดการหายใจ ชักหมดสติและเสียชีวิตได้ เมื่อเกิดอาการเหล่านี้ควรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนที่ไว้ใจได้ทันที
อ้างอิง
- กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- กองพัฒนาศักยภาพผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.)
- อนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
- คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล