นอกจากอากาศที่เย็นลงแล้ว หลายพื้นที่ของ กทม. เริ่มมีการแจ้งเตือนค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐาน ซึ่งปัญหาฝุ่น PM 2.5 เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ของ กทม. ที่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องพยายามหาเร่งหาวิธีแก้ปัญหา หนึ่งในนั้น คือ การจัดทำ "แผนปฏิบัติการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร"
แผนปฏิบัติการฯ แบ่งเป็น 4 ระดับตามปริมาณค่าฝุ่น PM 2.5 ที่วัดได้ในขณะนั้น
• ระดับที่ 1 ค่าฝุ่นไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม. แนวทางการดำเนินงานเน้นให้ทุกหน่วยงานดำเนินการตามภารกิจ อำนาจหน้าที่ และกฎหมายที่มีอยู่ให้ครบถ้วน เพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม กทม. ให้อยู่ในระดับปกติ
• ระดับที่ 2 ค่าฝุ่นอยู่ระหว่าง 37.6 – 50 มคก./ลบ.ม. ในระดับนี้ให้ทุกหน่วยงานยกระดับมาตรการให้เข้มงวดขึ้น และผู้ว่าฯ กทม. เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์
แต่หากค่าฝุ่นอยู่ระหว่าง 51 – 75 มคก./ลบ.ม. (ระดับ 3) หรือมีค่ามากกว่า 75 มคก./ลบ.ม. (ระดับ 4 หรือระดับสูงสุด) และมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 3 วัน ให้ผู้ว่าฯ กทม. บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อาจสั่งการให้หยุดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น เพื่อให้คุณภาพอากาศกลับสู่ภาวะปกติ
โดยกิจกรรมที่ผู้ว่าฯ กทม. สามารถใช้อำนาจสั่งการได้โดยตรง เช่น ให้ผู้รับเหมาหยุดการก่อสร้างที่ทำให้เกิดฝุ่นเป็นบางช่วงเวลา รวมทั้งอาจออกประกาศพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญในกรุงเทพมหานคร ตามพระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535
การแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ที่แหล่งกำเนิด เป็นอีกหนึ่งมาตรการที่ถูกกำหนดไว้ในแผนปฏิบัติการฯ โดยจากผลการวิจัยล่าสุดของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีระบุว่า แหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 ใน กทม. มาจาก 2 แหล่งใหญ่ ได้แก่ ยานพาหนะบนถนน 50% และจากโรงงานอุตสาหกรรม ทั้งอยู่ในพื้นที่ กทม. และจังหวัดปริมณฑล รวมกว่า 5,000 แห่ง อีก 46%
ในส่วนการลดฝุ่น PM 2.5 จากยานพาหนะ แผนปฏิบัติการฯ ระบุว่า ในกรณีค่าฝุ่น PM 2.5 ยังอยู่ในระดับ 1 (ไม่เกิน 37.5 มคก./ลบ.ม.) จะเน้นการตรวจจับควันดำจากต้นตอ โดยกำหนดตั้งจุดตรวจสอบควันดำจากรถยนต์ใช้งานทุกประเภท จำนวน 14 จุดต่อวัน และเพิ่มเป็น 20 จุดต่อวัน หากค่าฝุ่นขึ้นไปอยู่ในระดับ 2 (37.6 – 50 มคก./ลบ.ม.)
แต่หากค่าฝุ่นพุ่งขึ้นไปที่ระดับ 3 (51 – 75 มคก./ลบ.ม.) เน้นลดปริมาณการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลในชั่วโมงเร่งด่วน โดยผู้ว่าฯ กทม. สามารถประสานขอความร่วมมือ ทั้งหน่วยราชการและภาคเอกชนในการลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่น เช่น ขอความร่วมมือให้พนักงานทั้งราชการและเอกชนทำงานจากที่บ้าน 60% เพื่อลดการเดินทางที่ก่อให้เกิดฝุ่นจากการจราจร และเพิ่มเป็น 100% หากค่าฝุ่นอยู่ในระดับ 4
รวมทั้งการขยายพื้นที่ในการจำกัดเวลารถบรรทุกขนาดใหญ่เข้าพื้นที่ กทม. จากวงแหวนรัชดาภิเษกไปเป็นวงแหวนกาญจนาภิเษก โดยอาจยกเว้นผู้ประกอบการขนส่งสินค้าหรือผู้โดยสารที่ใช้รถบรรทุกไฟฟ้าหรือรถบรรทุกขนาดเล็ก (Pick Up) ไฟฟ้า
ส่วนแหล่งกำเนิดฝุ่น PM 2.5 จากโรงงานอุตสาหกรรม แผนปฏิบัติการฯ ระบุว่า ในช่วงเดือน ต.ค. 2565 - มี.ค. 2566 จะดำเนินการตรวจอย่างน้อยแห่งละ 2 ครั้งต่อเดือน ในกิจการในเขตพื้นที่ กทม. ดังนี้ กิจการผสมซีเมนต์ 139 แห่ง, กิจการหลอมโลหะ 112 แห่ง, กิจการอู่พ่นสีรถยนต์ 945 แห่ง, กิจการผลิตธูป 9 แห่ง และกิจการประดิษฐ์หินเป็นของใช้ 17 แห่ง
นอกจากนี้ กรมโรงงานอุตสาหกรรมจะกำหนดแผนและออกปฏิบัติงานตรวจโรงงานในพื้นที่ กทม. ถ้าเกินมาตรฐานจะมีคำสั่งให้แก้ไขภายในเวลาที่กำหนด หากปรับปรุงแก้ไขแล้ว ค่ามลพิษทางอากาศยังไม่ผ่านมาตรฐาน จะออกคำสั่งหยุดประกอบกิจการโรงงานตามพระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535
ส่วนการดูแลเด็ก ซึ่งเป็นกลุ่มเปราะบาง ที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 มากกว่าผู้ใหญ่ กทม. ก็วางระบบการแจ้งเตือนผ่าน "ห้องเรียนสู้ฝุ่น" โดยจะมีการติดตั้ง "เครื่องวัดฝุ่น" ในโรงเรียน
หลักการทำงานของเครื่องนี้ คือ เมื่อเครื่องวัดค่าฝุ่นแล้ว จะโชว์ตัวเลขบนหน้าปัด จากนั้นก็จะนำ "ธงสุขภาพ" หรือธงสีต่าง ๆ ที่แจ้งเตือนระดับคุณภาพอากาศที่วัดได้ในขณะนั้น ไปปักไว้ด้านหน้าโรงเรียน เพื่อให้นักเรียนได้รู้ค่าฝุ่นและป้องกันตนเองก่อน เช่น อาจเข้าไปอยู่ในห้องปลอดฝุ่น
โดย กทม. ก็เตรียมจะติดตั้งทั้งเครื่องวัดฝุ่นและจัดหาเครื่องฟอกอากาศไปติดตั้งเป็นห้องปลอดฝุ่น ให้ครบทั้ง 437 โรงเรียนในสังกัด รวมทั้งติดตั้งที่ศูนย์เด็กเล็กอีก 291 เครื่อง
แต่หากค่าฝุ่นอยู่ระหว่าง 51 - 69 มคก./ลบ.ม. ให้โรงเรียนงดกิจกรรมกลางแจ้ง นักเรียนสวมหน้ากากเมื่อออกนอกอาคารเรียน และโรงเรียนต้องจัดให้มี Safe Zone สำหรับทุกคนในโรงเรียน, หากค่าฝุ่นสูงขึ้นอยู่ระหว่าง 70 – 75 มคก./ลบ.ม. ผู้อำนวยสถานศึกษาสามารถใช้ดุลพินิจปิดการเรียนการสอนได้ครั้งละไม่เกิน 3 วัน และผู้อำนวยการเขตใช้ดุลพินิจได้ครั้งละไม่เกิน 7 วัน
และหากค่าฝุ่นพุ่งสูงถึงระดับ 4 (มากกว่า 75 มคก./ลบ.ม.) ครอบคลุมพื้นที่ 2 – 5 เขต ให้ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา กทม. ใช้ดุลพินิจปิดการเรียนการสอนในเขตที่ได้รับผลกระทบครั้งละไม่เกิน 15 วัน แต่หากพื้นที่ผลกระทบในระดับนี้มีมากกว่า 5 เขตขึ้นไป ให้เป็นดุลพินิจของผู้ว่าฯ กทม. ในการสั่งปิดโรงเรียน
การจัดทำแผนปฏิบัติการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 กทม. เป็นไปตาม "แผนปฏิบัติการขับเคลื่อนวาระแห่งชาติ การแก้ไขปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง" ของรัฐบาล ที่ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2562 กำหนดให้จังหวัดที่มีความเสี่ยง ต้องจัดทำแผนปฏิบัติการทุกปี เพื่อเตรียมรับมือและป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้น ตามหลักการการป้องกันไว้ก่อน
โดย กทม. เพิ่งอนุมัติแผนฉบับนี้ไปเมื่อวันที่ 21 ต.ค. จนถึงขณะนี้ ก็มีหลายมาตรการที่ กทม. เริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น การเปิดศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศ หรือวอร์รูมฝุ่น, การแจ้งเตือนค่าฝุ่นผ่านแอปพลิเคชั่น และโซเชียลมีเดีย แต่ยังคงต้องจับตาว่า กทม. จะสามารถดำเนินการตามแผนได้อย่างมีประสิทธิภาพแค่ไหน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ กทม. เข้าวิกฤตฝุ่นอย่างแท้จริง