“ถ้ามีลมเข้า...แต่ไม่มีลมออก เราก็ตายได้นะคะ”
เสียงนุ่มนวลของ เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ แขกรับเชิญรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ดังขึ้นกลางบทสัมภาษณ์ธรรมดา ๆ ที่กลับทำให้เราหยุดนิ่ง และหายใจช้าลงอย่างไม่รู้ตัว
เชอรี่พูดถึงสิ่งที่ใครหลายคนอาจมองข้าม “ลมหายใจ” สิ่งที่เราใช้ทุกวันแต่แทบไม่เคยระลึกถึง คุณค่าที่ไม่ได้วัดจากราคาหรือป้ายแบรนด์ แต่คือชีวิตแท้ ๆ ที่อยู่ตรงหน้าเราในทุกเช้า
เธอบอกว่า ทุกวันหลังตื่นนอน สิ่งแรกที่เธอทำคือ “ระลึกถึงลมหายใจ” แล้วกล่าว “ขอบคุณ” แด่การได้หายใจเข้าและออกอย่างสมบูรณ์ ขอบคุณน้ำสะอาดที่เธอดื่มในตอนเช้า ขอบคุณอาหารที่เลี้ยงดูร่างกาย ขอบคุณครอบครัวที่ยังอยู่ตรงนั้น ขอบคุณรถที่ไม่เสีย ขอบคุณแอร์เย็น ๆ ในรถ ขอบคุณคนขับที่มีน้ำใจ ขอบคุณเพื่อนร่วมงานที่ช่วยคิด ช่วยทำ แม้แต่คนที่ยื่นบัตรให้เธอก่อนขึ้นทางด่วน เธอก็ขอบคุณ…
ดูเหมือนทุกสิ่งรอบตัวในวันธรรมดา ๆ ของเธอ กลายเป็นเหตุผลให้ “ขอบคุณ” ได้เสมอ
นี่ไม่ใช่เพียงบทสนทนา แต่คือวิธีมองโลกแบบ “ขอบคุณเป็นนิสัย” เธอไม่ได้สวยแค่ภายนอก แต่สวยลึกถึงข้างใน ละความงดงามนี้ไม่ได้มาจากแสงแฟลชหรือรางวัลใด ๆ แต่มาจากความอ่อนโยนที่เธอปลูกไว้ในใจตัวเองด้วยคำง่าย ๆ คำหนึ่ง “ขอบคุณ”
คำคำนี้…อาจไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้ทันที แต่แน่นอนว่ามันเปลี่ยน “ใจ” ได้อย่างลึกซึ้ง และเมื่อใจเปลี่ยน โลกทั้งใบก็อาจไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จุดเริ่มต้นของคำธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เคยไหม แค่ได้ยินคำว่า “ขอบคุณ” จากใครบางคนในวันที่เหนื่อยสุดหัวใจ มันไม่ได้ทำให้ปัญหาหายไป แต่มันเบากว่าที่คิด เหมือนใจได้รับอ้อมกอดบางอย่างโดยไม่ต้องแตะตัวกันเลยด้วยซ้ำ
คำว่า "ขอบคุณ" ดูเหมือนจะเป็นคำสามัญประจำวัน เราใช้มันต่อท้ายข้อความ แทรกกลางบทสนทนา หรือส่งให้ใครบางคนทางแชทแบบไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ลึก ๆ แล้ว คำนี้มีพลังซ่อนอยู่ พลังที่เปลี่ยนได้ทั้งความสัมพันธ์ เปลี่ยนมุมมอง และบางครั้งก็เปลี่ยนชีวิต
หากมองย้อนกลับไปที่รากของภาษา “ขอบคุณ” มาจากคำว่า “ขอบ” (แปลว่า ขอ) และ “คุณ” (แปลว่า ความดี ความกรุณา หรือบุญคุณ) เมื่อนำมารวมกันจึงแปลว่า “ขอความกรุณา” หรือ “ขอรับความดีงามที่คุณมีให้” ซึ่งเป็นถ้อยคำที่สื่อถึงการเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้รับจากผู้อื่น
แม้ไม่มีหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นคนบัญญัติคำนี้ขึ้นมา แต่เชื่อว่าคำว่า “ขอบคุณ” เริ่มใช้แพร่หลายในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น แทนประโยคยาวอย่าง “ขอรับพระคุณ” ที่มักใช้ในราชสำนักหรือในบริบททางการ เพื่อให้กระชับและเข้าถึงได้ในชีวิตประจำวันมากขึ้น
สิ่งที่น่าสนใจคือ คำว่า “ขอบคุณ” ไม่ใช่แค่คำพูด แต่มันคือการแสดงความรู้สึก “เห็นคุณค่า” ของบางสิ่งหรือบางคน ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความนอบน้อมเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอกย้ำให้เราระลึกถึงสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต และเมื่อเรารู้จักขอบคุณผู้อื่น เราก็มักจะเริ่มเห็นคุณค่าของตัวเองด้วยเช่นกัน
ข้อสังเกตที่น่าสนใจ คือในเกือบทุกภาษาทั่วโลก คำว่า “ขอบคุณ” มักมีรากที่สื่อถึงการ “คิดถึง” หรือ “เห็นคุณค่า”
- อังกฤษ — Thank you
→ มาจากรากคำ think (คิด) สื่อถึงการระลึกถึงหรือคิดถึงสิ่งดี ๆ ที่ได้รับ - ญี่ปุ่น — Arigatou (ありがとう)
→ แปลว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นได้ยาก” แสดงถึงความรู้สึกซาบซึ้งต่อสิ่งที่ไม่ธรรมดา - ฝรั่งเศส — Merci
→ มาจากละติน mercedem แปลว่า “ความเมตตา” หรือ “รางวัล” ที่ได้รับจากผู้อื่น - เยอรมัน — Danke
→ มาจาก denken (คิด) เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษ เป็นการแสดงความตระหนักรู้ในน้ำใจที่ได้รับ - สเปน — Gracias
→ แปลว่า “พระคุณ” หรือ “ความกรุณา” เน้นที่ความเมตตาของผู้ให้ - อิตาลี — Grazie
→ รากเดียวกับ Gracias แสดงถึงการซาบซึ้งในความเมตตา - จีน (แมนดาริน) — Xièxiè (谢谢)
→ มีความหมายตรงตัวว่า “ขอบคุณ” ใช้เพื่อแสดงความนอบน้อมและตระหนักถึงบุญคุณที่ได้รับ - เกาหลี — Gamsahamnida (감사합니다)
→ มาจากคำว่า “gamsa” แปลว่า การแสดงความเคารพและรู้สึกขอบคุณอย่างลึกซึ้ง - อินโดนีเซีย / มาเลยเซีย — Terima kasih
→ แปลตรงตัวว่า “ขอรับความกรุณา” มีโครงสร้างคล้ายกับคำว่า “ขอบคุณ” ของไทย - ฮินดี (อินเดีย) — Dhanyavaad (धन्यवाद)
→ แปลว่า “คำพูดแห่งโชคดี” เป็นคำศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้ขอบคุณในเชิงจิตวิญญาณ
ทุกภาษาล้วนมีวิธีสื่อความรู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งที่ได้รับ และนี่คือหัวใจของการ “ขอบคุณ” ที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการตระหนักรู้ และเห็นคุณค่าของตัวเองและผู้อื่น
หากมองให้ลึกกว่ารากของภาษา คำว่า “ขอบคุณ” ยังฝังแน่นอยู่ในวัฒนธรรมของการกตัญญูที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนานในสังคมไทยและเอเชียหลายแห่ง เราเติบโตมากับคำสอนที่ว่า “รู้คุณคน” เป็นคุณธรรมพื้นฐานของมนุษย์ การกราบพ่อแม่ การไหว้ครู การยกมือไหว้ตอบรับน้ำใจจากคนแปลกหน้า ล้วนเป็นพิธีกรรมที่ฝึกให้เรา “ขอบคุณ” ผ่านการกระทำมากกว่าคำพูด
ในอดีต “ความกตัญญู” ไม่ได้เป็นแค่คุณธรรมทางศาสนาหรือความเชื่อ แต่เป็นโครงสร้างทางสังคมที่คอยยึดโยงความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวและชุมชน เช่น การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ด้วยการดูแลยามชรา หรือการช่วยเหลือญาติพี่น้องในยามลำบาก ความรู้สึกเหล่านี้ไม่ใช่ภาระ แต่คือหัวใจของความเป็นมนุษย์ที่ “ไม่ลืมบุญคุณ” และรู้จัก “เห็นคุณค่าของกันและกัน”
เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป คำว่า “ขอบคุณ” ก็ยังอยู่กับเรา แต่กลายเป็นสิ่งที่คนรุ่นใหม่บางส่วนอาจใช้ผ่านไปในแชท หรือพูดผ่านโทรศัพท์โดยไม่ทันรู้สึกถึงน้ำหนักของมัน ทั้งที่ความจริงแล้ว คำนี้ยังมีพลังเท่าเดิมอยู่เสมอ ถ้าเราให้คุณค่ากับมันอย่างแท้จริง
และบางที...วัฒนธรรมของการ “ขอบคุณ” ไม่ได้จางหายไปจากโลก แต่เพียงแค่รอให้เรากลับมา “ระลึกถึง” และ “ฟัง” เสียงเบา ๆ ของมันใหม่อีกครั้ง
“ขอบคุณ” คำธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
“ขอบคุณ” เป็นคำที่เราได้ยินกันจนชิน หยอดใส่ทุกบทสนทนาแบบอัตโนมัติ เช่นเดียวกับ “ขอโทษ” แต่ในความธรรมดานั้นแฝงพลังบางอย่าง ที่หลายคนมองข้าม
ในเชิงจิตวิทยา คำว่า “ขอบคุณ” เชื่อมโยงกับสิ่งที่เรียกว่า Gratitude Practice หรือการฝึกความรู้สึกขอบคุณ ซึ่งไม่ใช่แค่การพูด แต่คือการมองเห็นคุณค่าเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน การฝึกขอบคุณทำให้สมองหลั่งสารโดพามีน (dopamine) และเซโรโทนิน (serotonin) ซึ่งช่วยให้เรารู้สึกสงบ มีพลัง และมีความสุขมากขึ้น
Dr. Robert Emmons นักจิตวิทยาผู้ศึกษาเรื่อง “ความกตัญญู” พบว่าคนที่ฝึกขอบคุณเป็นประจำ จะมีสุขภาพจิตดีขึ้น ความวิตกลดลง และรับมือกับความเครียดได้ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
งานวิจัยของ Dr. Emmons ระบุว่า กลุ่มตัวอย่างที่ได้รับมอบหมายให้เขียนสิ่งที่ตนรู้สึกขอบคุณเป็นประจำทุกสัปดาห์ เพียงแค่ 10 สัปดาห์ต่อเนื่อง พบว่าพวกเขารู้สึกมองโลกในแง่บวกมากขึ้น รู้สึกดีกับชีวิตตัวเองมากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะช่วยเหลือผู้อื่นมากขึ้นด้วย
ที่น่าสนใจคือ กลุ่มนี้ยังรายงานว่ามีอาการปวดเมื่อยลดลง และนอนหลับดีขึ้น ซึ่งสะท้อนว่าความรู้สึกขอบคุณไม่ได้ส่งผลแค่ต่อใจ แต่ยังส่งผลถึงร่างกายโดยตรง เพราะการขอบคุณช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (cortisol) และกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nervous system) ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ร่างกายเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย ทำให้หัวใจเต้นช้าลง กล้ามเนื้อคลายตัว และร่างกายฟื้นตัวจากความเหนื่อยล้าได้ดีขึ้น
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานจากงานวิจัยอื่น ๆ ที่สนับสนุนว่า การฝึกขอบคุณส่งผลต่อคุณภาพการนอนโดยตรง คนที่จดบันทึกสิ่งที่ตนรู้สึกขอบคุณก่อนนอนจะมีแนวโน้มนอนหลับได้ลึกขึ้น ตื่นกลางดึกน้อยลง และรู้สึกสดชื่นเมื่อยามตื่น
ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า แค่การหันมาใส่ใจกับสิ่งเล็ก ๆ ที่เรามีอยู่แล้วในชีวิต อาจเป็นเหมือนยาบำรุงที่ทั้งใจและกายกำลังต้องการอย่างเงียบ ๆ
ลองคิดดูสิ แค่เราหยุดมองสิ่งที่เรายังไม่มี แล้วหันมามองว่าเรามีอะไรอยู่แล้วบ้าง ชีวิตมันก็เบาขึ้นมากเลย
ในวันที่เราท้อแท้ คำว่า “ขอบคุณ” อาจกลายเป็นเหมือนสมอเล็ก ๆ ที่ถ่วงใจไว้ไม่ให้ลอยหลุดไปในคลื่นความเครียด
เพราะการขอบคุณเป็นการเปลี่ยนมุมมอง ไม่ใช่เปลี่ยนสถานการณ์ เราอาจยังจน ยังล้า ยังอกหัก แต่เราขอบคุณที่ยังมีเพื่อนฟังเราบ่น ขอบคุณที่ตัวเองยังไม่ยอมแพ้ นั่นแหละคือพลัง
จิตวิทยาแนว Positive Psychology เชื่อว่าความสุขไม่ใช่ปลายทาง แต่คือทักษะที่เราฝึกได้ คำขอบคุณก็เป็นเหมือนกล้ามเนื้อชนิดหนึ่ง ยิ่งใช้ ยิ่งแข็งแรง ยิ่งเปลี่ยนเราให้กลายเป็นคนที่เห็น “สิ่งที่ใช่” มากกว่า “สิ่งที่ขาด”
เราอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าแค่การพูดคำว่า “ขอบคุณ” ต่อใครสักคน อาจช่วยเยียวยาวันแย่ ๆ ของเขาไปทั้งวัน
โลกสวยไปหรือเปล่า...ถ้าแค่เราชื่นชมสิ่งเล็ก ๆ รอบตัว
บางทีเวลาเราชื่นชมหรือกล่าวขอบคุณกับทุกสิ่ง เราก็มักจะเจอใครสักคนแซวว่า “โลกสวยไปหรือเปล่า ?”
ในยุคที่ความจริงถูกแปะหน้าว่า “ต้องหนัก ต้องเร็ว ต้องลุย” การหยุดมองอะไรเล็ก ๆ และรู้สึกดีกับมัน อาจดูเป็นเรื่องเบาบาง หรือดู “ไม่เท่าทันโลก” แต่ในมุมของจิตวิทยา การชื่นชมเรื่องเล็ก ๆ คือกลไกสำคัญของใจ ที่ช่วยให้เรายังอยู่กับโลกใบนี้อย่างไม่หมดแรง
บางคนอาจเรียกสิ่งนี้ว่าโลกสวย แต่แท้จริงแล้วมันคือการ “มีตาให้เห็นสิ่งดี” ในโลกที่เต็มไปด้วยความโกลาหล เราไม่ได้ต้องปฏิเสธความจริง แต่เรากำลังบอกตัวเองว่า “ถึงจะมีเรื่องยาก ฉันก็ยังไม่ลืมว่าโลกยังมีมุมอ่อนโยนอยู่เหมือนกัน”
เราไม่จำเป็นต้องเลือกข้างระหว่าง “โลกสวย” หรือ “โลกจริง”
เพราะทั้งสองอย่างอยู่ด้วยกันได้
แค่ต้องฝึกใจให้รู้ว่า ความสุขเล็ก ๆ ไม่ได้ทำให้เราอ่อนแอ
แต่มันทำให้เราอึดกว่าเดิม
การชื่นชมเรื่องเล็ก ๆ ไม่ได้หมายความว่าเราหนีความจริง แต่มันคือการเลือกมอง “ความจริงอีกด้าน” ที่ช่วยให้เรายังลุกขึ้นมาใหม่ได้ในวันต่อไป
เพราะใจของคน…ต้องการการ “มองเห็น”
มนุษย์ทุกคนล้วนมีบางอย่างเหมือนกัน คือ “ลึก ๆ นั้นต้องการให้ใครสักคนเห็นว่าเรามีความหมาย”
ไม่ใช่เพราะเราต้องการคำชมทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ แต่เป็นเพราะในใจของเรา…แค่เพียงมีใครมองเห็นความตั้งใจเล็ก ๆ ของเราบ้าง แค่นั้น…เราก็รู้สึกว่าเราไม่สูญเปล่า
การเห็นคุณค่าของกันและกัน ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดใหญ่โต บางครั้งมันคือประโยคสั้น ๆ อย่าง
“ขอบคุณนะที่อยู่ตรงนี้”
“เห็นนะว่าเหนื่อยมาก แต่อดทนเก่งมากเลย”
หรือแค่เพียงการสบตาและพยักหน้าเบา ๆ แทนความเข้าใจ
ในความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก สิ่งที่ทำให้ใจของเราอยู่ได้นานไม่ใช่แค่ความหวาน แต่คือความรู้สึกว่า “ฉันไม่ถูกมองข้าม” การมองเห็นคุณค่ากันในเรื่องเล็ก ๆ ช่วยเติมช่องว่างที่คำว่า “เคยชิน” หรือ “คิดว่าเข้าใจกันอยู่แล้ว” มักทำให้เราห่างกันโดยไม่รู้ตัว
การเห็นคุณค่าของกันและกัน จึงไม่ใช่แค่ความใจดี แต่มันคือการยืนยันว่า "คุณมีตัวตน" และ “ฉันยินดีที่คุณอยู่ตรงนี้”
บางครั้งแค่การส่งข้อความว่า “ขอบคุณมากเลยวันนี้” หรือการพูดคำว่า “ดีใจที่ได้เจอกันนะ” อาจกลายเป็นแรงใจสำคัญที่อีกฝ่ายจะจำได้ไปตลอดวัน...หรือตลอดชีวิต และในทางกลับกัน เมื่อเราเลือกที่จะเห็นคุณค่าของคนอื่น ใจของเราก็จะเริ่มกลับมามองเห็นคุณค่าของตัวเองด้วย เพราะความอ่อนโยนที่ให้คนอื่น มักสะท้อนกลับมาในหัวใจของเราเสมอ
และเมื่อเรารู้จักขอบคุณ เราไม่ได้แค่เห็นความงามของโลก แต่เราอาจได้เห็นความงามของตัวเองอีกครั้ง
วันนี้…คุณอยากขอบคุณอะไรที่คุณเคยมองข้ามไปไหม ? ลองเริ่มจากขอบคุณตัวเองที่อ่านบทความนี้จบก็ได้ เริ่มเลย…
รับชมเรื่องราวของ ‘เชอรี่ เข็มอัปสร สิริสุขะ’ ที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายคนได้เห็นคุณค่าของการมีชีวิต หรือได้มุมมองใหม่ ๆ และพร้อมมีวันนี้ดีที่สุดในรายการ “Made My Day วันนี้ดีที่สุด” ทางช่อง Thai PBS หมายเลข 3 หรือ รับชมออนไลน์ผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Live ชมย้อนหลังได้ที่ https://www.thaipbs.or.th/program/MadeMyDay/episodes/108712 , รับชมแบบเต็ม Uncut ได้ที่ https://VIPA.me/th/ และรับฟังเต็มได้ที่ https://www.thaipbspodcast.com/podcast/mademyday
แหล่งอ้างอิง :
- Robert Emmons (UC Davis) – งานวิจัยเรื่องการฝึก “Gratitude”
- Greater Good Science Center (Berkeley) – จิตวิทยาเชิงบวก
- Oxford English Dictionary, CNRTL (ฝรั่งเศส), DWDS (เยอรมัน)
- KBBI (อินโดนีเซีย), NihongoDict (ญี่ปุ่น), NHK World Japan
- Emmons, R.A. (2007). Thanks! How the New Science of Gratitude Can Make You Happier.
- Harvard Health Publishing. Giving thanks can make you happier. (2021)
- Psychology Today: The Power of Gratitude