ภาวะกล้ามเนื้อลายสลายตัว หรือ Rhabdomyolysis เป็นหนึ่งในภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่มักจะถูกมองข้าม เนื่องจากในระยะเริ่มต้นอาจไม่มีอาการเด่นชัด แต่หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury: AKI) และเสียชีวิตได้ ภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ที่ออกกำลังกายมากเกินไป ผู้ใช้ยาบางชนิด ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ หรือแม้กระทั่งในผู้ที่มีสุขภาพดี
Rhabdomyolysis คือภาวะที่กล้ามเนื้อลาย (Skeletal Muscle) เกิดการสลายตัวอย่างเฉียบพลัน ส่งผลให้เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อแตกออก ปลดปล่อยสารสำคัญออกสู่กระแสเลือด เช่น ครีเอทีนไคเนส (Creatine Kinase) ไมโอโกลบิน (Myoglobin) แลคเทตดีไฮโดรเจเนส (Lactate Dehydrogenase) รวมถึงแร่ธาตุที่มีประจุ (Electrolytes) อย่างโพแทสเซียมและฟอสเฟต เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ของกระบวนการเมตาบอลิซึมอื่น ๆ อีกด้วย การที่ไมโอโกลบินและครีเอทีนไคเนสไหลเวียนในเลือดในปริมาณสูงถือเป็นสัญญาณหลักของโรคนี้ และเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดผลแทรกซ้อนที่เป็นอันตราย
สาเหตุของ Rhabdomyolysis สามารถแบ่งออกได้เป็นหลายกลุ่ม สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การบาดเจ็บรุนแรง (Trauma) เช่น อุบัติเหตุจากแรงกดทับ (Crush Injury) ภาวะออกกำลังกายเกินขีดจำกัด (Exertional Rhabdomyolysis) และการใช้ยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำหนักที่มีสารกระตุ้นประสาทส่วนกลาง สารเสพติดอย่างโคเคนและเมทแอมเฟตามีน
ภาวะ Exertional Rhabdomyolysis พบได้บ่อยขึ้นในกลุ่มวัยรุ่นและคนหนุ่มสาวที่มีการออกกำลังกายอย่างหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาพอากาศร้อนชื้น เช่น การวิ่งมาราธอน CrossFit การฝึกทหาร หรือแม้แต่การออกกำลังกายในฟิตเนสที่หักโหมเกินไป
ร่างกายที่ไม่เคยชินต่อการออกแรงหนักจะทำให้เซลล์กล้ามเนื้อเกิดการบาดเจ็บอย่างรวดเร็ว กล้ามเนื้อที่ได้รับความเสียหายเหล่านี้จะสลายตัวอย่างฉับพลันและปลดปล่อยครีเอทีนไคเนสและไมโอโกลบินออกมา
Rhabdomyolysis จะมีอาการเจ็บกล้ามเนื้ออย่างรุนแรง (Severe Myalgia) กล้ามเนื้อบวมแดง (Swelling) อ่อนแรงผิดปกติ (Muscle Weakness) ปัสสาวะมีสีคล้ำคล้ายชาหรือน้ำโคลา (Dark Urine หรือ Tea-Colored Urine) ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญของ Myoglobinuria หรือการที่ไมโอโกลบินถูกขับออกทางปัสสาวะ อย่างไรก็ตาม ในหลายรายอาจไม่มีอาการปวดเด่นชัด โดยเฉพาะในผู้ป่วยสูงอายุหรือผู้ที่มีอาการป่วยเรื้อรัง
ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญและอันตรายที่สุดของ Rhabdomyolysis คือภาวะไตวายเฉียบพลัน (Acute Kidney Injury: AKI) ซึ่งเกิดจากการที่กล้ามเนื้อลายสลายตัวในปริมาณมาก ส่งผลให้ไมโอโกลบินถูกปลดปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดในระดับสูงผิดปกติ
ไมโอโกลบินมีโมเลกุลขนาดเล็กพอที่จะผ่านการกรองที่ทางเข้าของท่องหน่วยไตได้อย่างรวดเร็ว แต่ในสภาวะที่ระดับไมโอโกลบินสูงผิดปกติ มันจะสะสมอยู่ในท่อหน่วยไตโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีภาวะขาดน้ำร่วมด้วย (Hypovolemia) หรือในช่วงที่ปัสสาวะเข้มข้น ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดกระบวนการตกผลึกและอุดตันในท่อหน่วยไต นอกจากนี้ไมโอโกลบินยังสามารถก่อพิษโดยตรงต่อเซลล์หน่วยไต (Direct Tubular Toxicity) ผ่านกลไกการสร้างความเครียดในระดับเซลล์อันเกิดจากสารอนุมูลอิสระ (Oxidative Stress) เกิดจากส่วนประกอบที่เรียกว่าฮีม (Heme) ของไมโอโกลบินจะกระตุ้นให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระ (Reactive Oxygen Species) ส่งผลให้เซลล์ในท่อหน่วยไตเสียหายฉับพลัน (Acute Tubular Necrosis) ส่งผลให้ไตสูญเสียหน้าที่กรองของเสียแทบจะในทันที
พร้อมกันนี้การสลายของกล้ามเนื้อยังส่งผลให้มีการปลดปล่อยโพแทสเซียมในปริมาณสูง (Hyperkalemia) ซึ่งเป็นภาวะฉุกเฉินที่อาจนำไปสู่การเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ (Cardiac Arrhythmia) ที่รุนแรง เช่นภาวะหัวใจห้องล่างเต้นเร็ว (Ventricular Tachycardia) หรือ เต้นพลิ้ว (Ventricular Fibrillation) และในกรณีรุนแรงอาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน (Sudden Cardiac Arrest) ผู้ป่วยยังอาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรด (Metabolic Acidosis) จากการสะสมของกรดแลคติก (Lactic Acidosis) เนื่องจากภาวะกล้ามเนื้อสลายมักสัมพันธ์กับภาวะเลือดไปเลี้ยงเนื้อเยื่อน้อยกว่าที่ควร (Hypoperfusion) และภาวะเซลล์ขาดออกซิเจน (Cellular Hypoxia) รวมถึงอาจมีภาวะการเกิดลิ่มเลือด (Coagulopathy) จากการปลดปล่อยสารทรอมโบพลาสติน (Thromboplastin) และสารที่เซลล์ใช้สื่อสารกัน (Cytokine) กระตุ้นให้เกิดการแข็งตัวของเลือดในหลอดเลือดทั่วร่างกาย (Disseminated Intravascular Coagulation) ในบางกรณี
การวินิจฉัย Rhabdomyolysis ใช้หลักการตรวจเลือดหาค่าครีเอทีนไคเนส ซึ่งหากพบมากกว่า 5 เท่าของค่าปกติ หรือมากกว่า 1,000 IU/L ถือว่ามีความเป็นไปได้สูง หากมีอาการรุนแรงอาจมีประมาณได้ถึงหลักแสน นอกจากนี้จะตรวจดูค่าสารน้ำต่าง ๆ รวมถึงตรวจการทำงานของไตเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อภาวะไตล้มเหลว
หลักการรักษา Rhabdomyolysis คือการให้สารน้ำทางหลอดเลือดอย่างเพียงพอเพื่อลดความเข้มข้นของไมโอโกลบินและป้องกันไตวายเฉียบพลันร่วมกับการติดตามค่าครีเอทีนไคเนสและปริมาณไอออนต่าง ๆ อย่างใกล้ชิด ในบางรายที่มีภาวะโพแทสเซียมมากเกินขนาดอาจต้องให้แคลเซียมกลูโคเนต อินซูลินร่วมกับน้ำตาล หรือยาขับโพแทสเซียม เช่น โซเดียมพอลิสไตรีนซัลโฟเนต (Sodium Polystyrene Sulfonate) นอกจากนี้หากมีภาวะไตวายที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้น อาจจำเป็นต้องฟอกเลือด (Hemodialysis) เพื่อประคองภาวะไตล้มเหลว หรือทำ Hemofiltration เพื่อกรองโมเลกุลไมโอโกลบินออกจากกระแสเลือด
เรียบเรียงโดย
Chottiwatt Jittprasong
Prince of Wales Hospital, Hong Kong
Department of Orthopaedics & Traumatology
The Chinese University of Hong Kong
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech