โรคพิษสุนัขบ้า หรือ Rabies เป็นโรคที่มาสาเหตุมาจากการติดเชื้อกลุ่ม Lyssaviruses ซึ่งแพร่หลายในสัตว์จำพวกค้างคาว สุนัข และหนู ในประเทศไทยมีการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าในประชากรสุนัขรวมถึงปริมาณสุนัขจรจัดที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าสูง ทำให้การติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในประเทศไทยส่วนใหญ่มาจากการโดนกัดโดยสุนัข
โรคพิษสุนัขบ้าถือเป็นโรคเพียงไม่กี่โรคที่อัตราการเสียชีวิตหลังจากการแสดงอาการ (On-set) อยู่ที่ประมาณ 100% ไม่มีวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพหลังจากผู้ป่วยแสดงอาการ จึงสามารถอนุมานได้ว่าผู้ที่แสดงอาการโรคพิษสุนัขบ้าจะเสียชีวิตในที่สุด
โรคพิษสุนัขบ้าเกิดจากเชื้อไวรัสในกลุ่ม Lyssavirus ซึ่งมีอยู่หลายชนิด แตกต่างกันตามสัตว์ที่เป็นแหล่งเพาะเชื้อ ปัจจุบัน สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมแทบทุกชนิดสามารถติดเชื้อพิษสุนัขบ้าได้จากการกลายพันธุ์ของไวรัส อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อพิษสุนัขบ้าจากสัตว์สู่คนเกิดขึ้นจากการถูกสุนัขกัดแทบจะ 99% ในขณะที่มีเพียงไม่กี่รายที่เกิดการติดเชื้อจากการโดนกัดโดยสัตว์อื่น
สุนัขที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าในระยะที่สามารถแพร่เชื้อได้มักจะสังเกตได้จากพฤติกรรมของสุนัข โดยมีสองชนิดหลัก ๆ คือ พิษสุนัขบ้าแบบซึม (Dumb Rabies) และพิษสุนัขบ้าแบบดุ (Furious Rabies) ในแบบซึม สุนัขมักมีอาการซึม ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า ขณะที่ในแบบดุ สุนัขจะมีอาการดุและมีความเสี่ยงที่จะกัดสูง ซึ่งเอื้อต่อการแพร่เชื้อ
เมื่อมนุษย์โดนสุนัขที่มีเชื้อพิษสุนัขบ้ากัดเข้า เชื้อพิษสุนัขบ้าที่อยู่ในน้ำลายของสุนัขจะเข้าสู่ร่างกายของมนุษย์จากแผลกัด การติดเชื้อในระยะแรกจะเป็นการแบ่งตัวในเซลล์ประสาทและเซลล์กล้ามเนื้อส่วนปลายในบริเวณที่ถูกกัด ก่อนที่เชื้อจะเริ่มแพร่ผ่านเส้นประสาทไปยังระบบประสาทส่วนกลางหรือสมอง (Central Nervous System)
ในระยะฟักตัว ผู้ป่วยจะไม่มีอาการใด ๆ ทั้งสิ้น และมักใช้เวลาหลายวันหรืออาจนานหลายเดือนหรือเป็นปีกว่าที่ไวรัสจะเดินทางถึงสมอง ขึ้นอยู่กับบริเวณที่โดนกัด เช่น ขา จะใช้เวลาแสดงอาการนานกว่าถูกกัดที่แขน
พิษสุนัขบ้าในระยะฟักตัวเป็นระยะที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการฉีดภูมิคุ้มกันหลังการติดเชื้อหรือที่เรียกว่า Post-exposure Prophylaxis (PEP) ซึ่งทำมาจากแอนติบอดีต่อต้านไวรัสพิษสุนัขบ้า (Human Rabies Immunoglobulin หรือ HRIG) มักจะต้องฉีดหลายเข็มในระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ร่วมกับวัคซีนพิษสุนัขบ้า การใช้ PEP ร่วมกับวัคซีนมักเป็นการรักษาล่วงหน้า (Precautionary) เนื่องจากผู้ป่วยอาจจะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้อก็ได้ ไม่มีวิธีในการตรวจหาเชื้อที่มีความแม่นยำเพียงพอในการวินิจฉัยพิษสุนัขบ้าในระยะนี้
นอกจาก PEP แล้ว ปัจจุบันมีวัคซีนพิษสุนัขบ้าสำหรับมนุษย์ คล้ายกับวัคซีนไข้หวัด สำหรับฉีดก่อนที่จะสัมผัสกับเชื้อ การฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าจึงเป็นการป้องกันมากกว่าการรักษา ผู้ที่ได้รับวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าแล้วถูกกัด ไม่จำเป็นต้องฉีด HRIG เพียงฉีดวัคซีนกระตุ้นภูมิคุ้มกันซ้ำตามแพทย์เห็นสมควร
ทั้งวัคซีนและ HRIG มีประสิทธิภาพในการป้องกันและรักษาโรคสูงในโรคพิษสุนัขบ้าที่ยังไม่แสดงอาการหรือในระยะฟักตัวได้สูงเกือบ 100% ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันปกติ
หากไม่ได้รับการรักษา เมื่อเชื้อพิษสุนัขบ้าเดินทางถึงระบบประสาทส่วนกลางหรือสมองแล้ว จะทำให้เกิดการติดเชื้อในสมอง (Encephalitis) ทำให้เกิดอาการทางระบบประสาทจำนวนมาก เช่น เวียนหัว สับสน กลัวน้ำ ชัก อัมพาต หลอน ดุร้าย และหมดสติ ในที่สุดผู้ป่วยจะโคม่าและเสียชีวิตในที่สุดจากความเสียหายของระบบประสาทส่วนกลาง
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพในระยะที่โรคแสดงอาการแล้ว มีเพียงบางรายเท่านั้นที่รอดชีวิตจากการรักษาแบบรุนแรง ซึ่งประกอบไปด้วยการทำให้โคม่าด้วยยาและการใช้ยาต้านไวรัสปริมาณมาก เพื่อถ่วงเวลาให้ร่างกายตอบสนองต่อการติดเชื้อ อย่างไรก็ตามการรักษาเช่นนี้มีประสิทธิภาพต่ำ และผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตก่อน
การรักษาพิษสุนัขบ้าที่ดีที่สุดจึงเป็นการกันไว้ก่อนด้วยการฉีดวัคซีนหรือฉีด HRIG หากสงสัยว่าตนสัมผัสกับเชื้อพิษสุนัขบ้า เช่น โดนสุนัขกัดหรือแมวข่วน ไม่ว่าแผลจะเล็กน้อยเพียงใด
เรียบเรียงโดย
Chottiwatt Jittprasong
Prince of Wales Hospital
Department of Orthopaedics and Traumatology
Faculty of Medicine, The Chinese University of Hong Kong
📌อ่าน : “วัคซีนพิษสุนัขบ้า” ต้องฉีดเฉพาะคนโดนหมากัดหรือเปล่า?
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech