ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

กว่า 40 ปี “โรคเอดส์” ในไทย เราได้รู้อะไรบ้าง ?


Insight

อธิเจต มงคลโสฬศ

แชร์

กว่า 40 ปี “โรคเอดส์” ในไทย เราได้รู้อะไรบ้าง ?

https://www.thaipbs.or.th/now/content/3036

กว่า 40 ปี “โรคเอดส์” ในไทย เราได้รู้อะไรบ้าง ?

 

คำว่า “โรคเอดส์” และการติดเชื้อ HIV อยู่ในความนึกคิดของคนไทยมาราว ๆ 40 ปี ล่าสุดคำนี้ และเรื่องราวของ “วัดพระบาทน้ำพุ” กำลังเป็นประเด็นที่ผู้คนในสังคมไทยให้ความสนใจ 

Thai PBS ชวนย้อนดูความเป็นมาและเป็นไปของ โรคเอดส์ และการติดเชื้อ HIV จากโรคติดต่อร้ายแรงถึงชีวิต อคติของผู้คนในสังคม ถึงวันที่มียาต้านไวรัส เวลาผ่านมากว่า 40 ปี เรารู้จักโรคนี้มากแค่ไหน และสถานการณ์ปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง ?

โรคเอดส์ โรคประหลาดหลากชื่อเรียกแห่งยุค 80

โรคเอดส์หรือการติดเชื้อ HIV ถูกค้นพบครั้งแรกในสหรัฐอเมริกาในช่วงปีพ.ศ. 2524 ตรงกับค.ศ. 1981 ช่วงทศวรรษดังกล่าวจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการทำความเข้าใจโรคใหม่ชนิดนี้ ซึ่งถูกเรียกด้วยหลายชื่อโรคตามความเข้าใจที่เปลี่ยนไป แรกเริ่มเลยนั้นกรมควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) ได้รายงานการพบโรคปวดบวมชนิดหายากในชายหนุ่มรักร่วมเพศที่รัฐแคริฟอร์เนีย ซึ่งแท้จริงแล้วคือการแจ้งเตือนโรคเอดส์ครั้งแรก

ต่อมามีการเรียกโรคนี้ว่า กาฬโรคเกย์ (gay plague) และโรคเกย์ (gay syndrome) เนื่องจากโรคนี้ดูเหมือนจะเกิดเฉพาะในกลุ่มชายรักร่วมเพศเท่านั้น เข้าสู่ช่วงเดือนกรกฎาคมของปี 2524 หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ก็ตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับการพบมะเร็งหายากในกลุ่มคนรักร่วมเพศ 41 ราย

ก้าวสู่ช่วงมกราคมของปี 2525 หนังสือพิมพ์ในฝรั่งเศสก็เผยแพร่บทความถึง “มะเร็งลึกลับ (mysterious cancer)” ที่พบในกลุ่มคนรักร่วมเพศชาวอเมริกัน ก่อนที่จะถูกเรียกว่า โรค 4 H เนื่องจากเป็นโรคที่พบในกลุ่มคนรักร่วมเพศ (Homosexuals) ผู้เสพติดเฮโรอีน (Heroin addicts) ผู้ป่วยโรคฮีโมฟีเลีย (Hemophiliacs) และชาวเฮติ (Haitians) ที่อพยพมาอยู่สหรัฐฯ ในเวลาดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจเกี่ยวกับโรคนี้ที่มากขึ้นก็ทำให้โลกได้รู้แล้วว่าโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV ไม่ได้เกิดในกลุ่มประชาชนเหล่านี้เท่านั้น และได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นโรคเอดส์ AIDS  (Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งมีที่มาจากการศึกษาวิจัยที่พบว่า โรคนี้มีการแพร่ระบาดในแอฟริกามาก่อนแล้วโดยมาจากการติดเชื้อไวรัสในลิง การแพร่ระบาดจากสัตว์สู่คน มาสู่คนเมืองทำให้การแพร่ระบาดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว

โรคเอดส์ในไทย ยุคสมัยที่ถุงยางอนามัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ

โรคเอดส์เข้ามาในประเทศไทยในช่วงปี 2527 โดยติดต่อมาจากชาวต่างชาติในกลุ่มชายรักชาย จากนั้นก็เกิดการแพร่ระบาดในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด ระยะเวลาเพียง 1 ปี พบว่าผู้ใช้ยาเสพติดเกือบครึ่งนึงติดเชื้อ HIV ก่อนจะระบาดสู่กลุ่มพนักงานบริการ มีการสำรวจพบว่า พนักงานบริการในพื้นที่จังหวัดภาคเหนือติดเชื้อ HIV ถึงร้อยละ 44

ช่วงปี 2528-2530 มีผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV พึ่งเป็นที่รู้จักทำให้การรับมือยังทำได้ยาก และเมื่อการค้าบริการทางเพศถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายที่รัฐทำเป็นมองไม่เห็น แต่รัฐในส่วนที่ต้องดูแลด้านสาธารณสุขต้องมองเห็นพนักงานบริการอย่างเข้าใจ การทำงานท่ามกลางสภาวะดังกล่าวกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ และมักถูกวิพากษ์วิจารณ์จากมุมของศีลธรรม นอกจากนี้ในช่วงเวลานั้นการใช้ถุงยางอนามัยยังไม่เป็นที่ยอมรับ เกิดเป็นคำถามว่า แล้วลูกค้าที่ไหนจะยอมใช้ถุงยางขณะใช้บริการทางเพศ ?

แต่เมื่อหน่วยงานในพื้นที่ให้การสนับสนุนจากระดับท้องที่ มีการตรวจสอบการใช้ถุงยางอนามัยอย่างจริงจัง และขยายสู่พื้นที่อื่น ๆ จนกลายเป็นวาระระดับประเทศกับนโยบายถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลานั้นถุงยางมีอีกชื่อเล่นว่าถุงมีชัย ตามชื่อของ มีชัย วีระไวทยะ ผู้บุกเบิกการใช้ถุงยางในไทยจนได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติในฐานะ “มิสเตอร์คอนดอม” หรือ “ราชาแห่งถุงยาง”

เพียงไม่นาน จำนวนผู้ติดเชื้อ HIV ในปี 2531 ก็ลดลงอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มของผู้ป่วยจะคงที่ แต่ก็ยังไม่หมดไป โรคที่รักษาไม่หายนี้ทำให้มีผู้ป่วยสะสมมีมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเข้าใจที่ผิดพลาดเกี่ยวกับโรคเริ่มนำพาไปสู่อคติและการตีตราที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ป่วยไม่กล้าเข้าการรักษา การปิดบังยิ่งทำให้การแก้ปัญหาเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น

โรคเอดส์ อคติ การตีตรา และยาต้านไวรัส

เนื่องจากโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV มีการถ่ายทอดภาพของผู้ป่วยที่มักมีอาการรุนแรง การติดเชื้อยังถูกมองในแง่ลบจากพฤติกรรมทางเพศ ทำให้เกิดอคติมากมายขึ้น ตั้งแต่ เชื่อกันว่าติดเชื้อแล้วถึงตาย HIV ติดได้ง่าย แม้กระทั่งการสัมผัสถูกเนื้อต้องตัว และ HIV ติดเฉพาะกับกลุ่มคนบางกลุ่มเท่านั้น

แน่นอนว่าสาเหตุหลัก ๆ มาจากความกลัวและไม่รู้จักโรคนี้เพียงพอของผู้คนในสังคม อคติและการตีตราเหล่านี้ยิ่งทำให้ผู้ติดเชื้อไม่กล้าเข้ารับการรักษา และทำให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น ช่วงเวลาหนึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศที่มีการแพร่ระบาดมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สถานการณ์ดังกล่าวคลี่คลายลงด้วยหลากปัจจัย มีปัจจัยสำคัญหนึ่งคือนโยบายการเข้าถึงการรักษาด้วยยาต้านไวรัส HIV ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2535 – 2561 โดยค่อย ๆ พัฒนาจากโครงการนำร่องก่อนขยายเพื่อเข้าถึงผู้ป่วยมากขึ้น จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2545 ที่องค์การเภสัชกรรมของไทยสามารถผลิตยาต้านไวรัสได้เอง ทำให้ราคาของยาถูกลงอย่างมาก จากเดิมที่ยามีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ประมาณ 27,000 บาทต่อเดือน เหลือประมาณ 1,200 บาทต่อเดือน

ทุกวันนี้ผู้ติดเชื้อ HIV สามารถเข้ารับยาต้านไวรัสได้ฟรีและจำเป็นจะต้องเข้ารับยาอย่างต่อเนื่องเพื่อคุมระดับเชื้อไวรัส มียาต้านไวรัสที่ถูกพัฒนาใหม่ขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม อคติและการตีตราที่มีมาอย่างยาวนาน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่ในบางสังคมตามความรู้เท่าทันเกี่ยวกับสุขภาพ การลดอคติและการตีตรายังคงจำเป็นเพื่อช่วยให้เกิดทั้งการป้องกัน และช่วยให้ผู้ป่วยเข้าถึงการรักษาได้มากยิ่งขึ้น

ผู้ติดเชื้อ HIV ไม่เท่ากับเป็นโรคเอดส์ และยังสามารถใช้ชีวิตได้ปกติ

“โรคเอดส์” กับ “การติดเชื้อ HIV” จนถึงทุกวันนี้ยังมีผู้เข้าใจผิดว่าคือสิ่งเดียวกัน แต่แท้จริงแล้วเป็น 2 คำที่มีความหมายต่างกัน โดยโรคเอดส์คือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือก็คือระยะสุดท้ายของการติดเชื้อ HIV นั่นเอง

ขณะที่ผู้ติดเชื้อ HIV นั้นหากเข้ารับการรักษาจะยังคงสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ โดยต้องรับประทานยาต้านไวรัสอย่างสม่ำเสมอ ประสิทธิภาพของยาต้านไวรัสสามารถลดระดับไวรัสจนถึงระดับที่ไม่สามารถตรวจพบไวรัส และไม่สามารถแพร่เชื้อได้

ผู้ติดเชื้อ HIV ที่รับยาต้านอย่างสม่ำเสมอจนสามารถควบคุมระดับเชื้อไวรัสได้ จึงสามารถใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทุกประการ สามารถมีเพศสัมพันธ์โดยไม่แพร่เชื้อได้ จนถึงสามารถที่จะมีครอบครัว มีลูกได้โดยไม่แพร่เชื้อสู่ลูก

อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ HIV แม้จะใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติ แต่ก็ต้องใส่ใจสุขภาพมากขึ้นด้วย เนื่องจากการติดเชื้อ HIV มีส่วนทำให้ความเสี่ยงที่จะป่วยโรคอื่น ๆ โดยเฉพาะวัณโรคเพิ่มขึ้น ขณะที่การรับยาต้านไวรัสบางชนิดมีผลข้างเคียงที่เพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจ เบาหวาน การขาดวิตามินดีซึ่งส่งผลต่อมวลกระดูก จึงควรรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงโรคอื่น ๆ ทดแทน และระมัดระวังเรื่องสุขภาพมากขึ้นเป็นพิเศษ รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกาย ลดละเลี่ยงของมันของหวานของทอด ใช้ชีวิตอย่างคนปกติที่ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี

โรคเอดส์ต้องนอนรอความตายหรือไม่ ?

ภาพจำหนึ่งเกี่ยวกับโรคเอดส์คือภาพผู้ป่วยที่ทุกข์ทรมาน ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป แนวทางการรักษาในปัจจุบันนั้นคือการให้ผู้ติดเชื้อ HIV เข้าถึงการรักษาให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะเอดส์ระยะสุดท้าย ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อ HIV สามารถใช้ชีวิตปกติได้อีกนาน เพราะระยะเวลาการดำเนินโรคนานถึงประมาณ 10 ปี กว่าจะพัฒนาสู่โรคเอดส์ หากได้รับการรักษา ได้รับยาต้านอย่างต่อเนื่องก็สามารถป้องกันให้อยู่ในระยะเริ่มต้นได้

ทั้งนี้  กรณีผู้ติดเชื้อ HIV ไม่สามารถเข้าถึงการรักษาจนป่วยเป็นโรคเอดส์ จะมีแนวทางในการรักษาแบบประคับประคอง โดยมุ่งเน้นที่การไม่ตีตรา การรักษาแบบองค์รวมที่คำนึงถึงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัวเป็นหลัก

สถานการณ์โรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV ในไทย ตอนนี้เป็นอย่างไร ?

การทำงานเกี่ยวกับโรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV ในไทยมีหลายฝ่ายให้ความสำคัญเพื่อลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ ส่งผลให้มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากช่วงระบาดหนักในอดีตที่เคยผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นประมาณปีละ 100,000 คน ลดลงมาเหลือปีละไม่เกินประมาณปีละ 8,000 คน ทั้งนี้ ไทยเองมีเป้าหมายเป็นยุทธศาสตร์ลดผู้ป่วยรายใหม่ไม่เกิน 1,000 คน ในปี 2573 

อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีที่ผ่านมานี้ (2568) มีการคาดการณ์กันว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 9,000 คน โรคเอดส์และการติดเชื้อ HIV จึงยังคงต้องมีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง สร้างความเข้าใจ ลดอคติของผู้คนในสังคม

สิทธิเกี่ยวกับโรคเอดส์ และการติดเชื้อ HIV ที่ควรรู้

ปัจจุบันนี้มีสิทธิด้านสุขภาพเพื่อเฝ้าระวังเกี่ยวกับการติดเชื้อ HIV และโรคเอดส์อยู่จำนวนนึงที่หลายอย่างมีการพัฒนาปรับปรุงขึ้นเพื่อป้องกันการติดเชื้อ รวมถึงทำให้ผู้ติดเชื้อเข้าถึงการรักษาได้เร็วยิ่งขึ้น

1. ตรวจ HIV ฟรี ปีละ 2 ครั้ง คนไทยทุกคนมีสิทธิ์ตรวจ HIV ได้ฟรีปีละ 2 ครั้ง หากพบว่าตัวเองไม่ได้มีความเสี่ยงก็ไม่จำเป็นต้องเข้ารับการตรวจ แต่หากมีความเสี่ยง เช่น เปลี่ยนคู่นอนบ่อยหรือไม่สวมยุงยางขณะมีเพศสัมพันธ์ เคยมีประวัติติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน เป็นผู้ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นกรณีใช้ยาเสพติด รวมถึงผู้ที่ต้องการวางแผนครอบครัว (เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ลูก) สามารถเข้ารับการตรวจได้
2. รับถุงยางอนามัยฟรี ถือเป็นมาตรการป้องกันที่มีมาอย่างยาวนาน นอกจากป้องกันการติดเชื้อ HIV ที่สามารถนำไปสู่โรคเอดส์ได้แล้ว ยังป้องกันโรคทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
3. ยา PrEP และยา PEP ฟรี เพื่อป้องกันการติดเชื้อ HIV โดยยา PrEP (Pre-exposure Prophylaxis) คือยาที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อก่อนมีเพศสัมพันธ์ ใช้ในกลุ่มเสี่ยงนั่นเอง ส่วนยา PEP (Post-Exposure Prophylaxis) คือยาที่ใช้ป้องกันการติดเชื้อในกรณีฉุกเฉิน ต้องรับประทานเร็วที่สุดหลังมีความเสี่ยงภายใน 72 ชั่วโมง มักใช้ในกรณีถูกล่วงละเมิดทางเพศ หรือแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุระหว่างการรักษา 
4. รับการรักษาฟรี หากตรวจพบและมีการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อ HIV ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาฟรี โดยสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัสเพื่อควบคุมปริมาณไวรัสในร่างกาย รวมถึงสามารถรับวัคซีนเพื่อป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้ ยังมีบริการให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิต

อ้างอิง

  • ธนาคารโลก สำนักงานประเทศไทย
  • The Institut Pasteur
  • สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข
  • บทความวิชาการ พัฒนาการทางนโยบายการเข้าถึงยาต้านไวรัสเอชไอวีในประเทศไทย และผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงนโยบาย: จากยุคจำกัดการเข้าถึงสู่ยุคการรักษาฟรี

แท็กที่เกี่ยวข้อง

โรคเอดส์เอดส์วันเอดส์โลกHIVเชื้อไวรัส HIVยาต้านไวรัส HIVติดเชื้อ HIV
อธิเจต มงคลโสฬศ

ผู้เขียน: อธิเจต มงคลโสฬศ

เจ้าหน้าที่เนื้อหาดิจิทัล ไทยพีบีเอส สนใจเนื้อหาด้านสุขภาพจิต สาธารณสุข และความยั่งยืน รวมถึงประเด็นทันกระแสที่มีแง่มุมน่าสนใจซ่อนอยู่

บทความ NOW แนะนำ

ข่าวล่าสุด