สร้างความเข้าใจที่ถูกต้องให้ตรงกัน เมื่อสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวมีปัญหาเรื่องผิวหนัง เช่น แผลพุพอง รอยแดง หรืออาการคันต่าง ๆ หลายคนอาจนึกถึงการใช้ “ยาม่วง” หรือ เจนเชียน ไวโอเลต (Gentian Violet) เพื่อใช้รักษาโรคผิวหนังเหล่านี้เพราะเคยได้ยินว่าสามารถใช้ได้และมีการใช้มานานแล้ว แต่รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบัน สัตวแพทย์ไม่แนะนำให้ใช้ยาม่วงรักษาปัญหาผิวหนังในสัตว์เลี้ยงอีกต่อไป เนื่องจากมีข้อมูลทางการแพทย์ที่ชัดเจนถึงข้อเสียและความเสี่ยงหลายประการ
“ยาม่วง” (Gentian Violet) คืออะไร
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สพญ.นรรฆวี แสงกลับ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจนเชียน ไวโอเลต ให้ความรู้ว่า เป็นสารประกอบสีม่วงที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และบางชนิดยังมีฤทธิ์ต้านไวรัสด้วย ถูกค้นพบในศตวรรษที่ 19 และเคยถูกนำมาใช้รักษาโรคผิวหนัง, แผลติดเชื้อ และเชื้อราตามร่างกาย ทั้งในคนและสัตว์
แต่แม้จะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ เจนเชียน ไวโอเลต ก็มีคุณสมบัติเป็น สารก่อการกลายพันธุ์ (mutagenic) และมีแนวโน้มก่อให้เกิดพิษต่อเนื้อเยื่อได้หากใช้ในปริมาณมาก หรือใช้ต่อเนื่องเป็นเวลานาน
ทำไมจึงไม่ควรใช้ยาม่วงในสุนัขและแมว
1. อาจก่อให้เกิดการระคายเคืองและพิษต่อเนื้อเยื่อ
มีงานวิจัยพบว่า เจนเชียน ไวโอเลต สามารถทำให้เนื้อเยื่อเกิดการระคายเคือง และชะลอการสมานแผลได้ โดยเฉพาะถ้าใช้ในบาดแผลเปิด หรือบริเวณที่มีการอักเสบ
2. เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง
จากการศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าเจนเชียน ไวโอเลตสามารถก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของเซลล์ (mutagenicity) และมีความเสี่ยงที่อาจนำไปสู่การเกิดเนื้องอกในตับและต่อมน้ำเหลือง แม้ข้อมูลนี้จะยังไม่ยืนยันชัดเจนในสุนัขและแมว แต่การใช้สารที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ในสัตว์เลี้ยงถือว่าไม่ปลอดภัยมากนัก
3. สีม่วงทำให้เห็นรอยโรคจริง ๆ ไม่ชัดและยากต่อการวินิจฉัยโรค
เมื่อทายาม่วงลงบนผิวหนัง จะเกิดการย้อมสีม่วงเข้มบนแผล ทำให้สัตวแพทย์ไม่สามารถประเมินลักษณะจริงของบาดแผลได้ เช่น ความรุนแรงของการติดเชื้อ, ขอบเขตของการอักเสบ หรือสภาพเนื้อเยื่อ ซึ่งสำคัญต่อการวินิจฉัยและการวางแผนรักษา
4. มีทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า
ในปัจจุบันสัตวแพทย์มีทางเลือกในการรักษาโรคผิวหนังที่มีความปลอดภัยสูงกว่ามาก เช่น ยาฆ่าเชื้อที่เฉพาะเจาะจง, ยาทาฆ่าเชื้อรา, หรือยาสูตรเฉพาะที่พัฒนาสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยตรง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าการใช้เจนเชียน ไวโอเลตมาก
สรุป : แม้ว่ายาม่วงอาจดูเหมือนวิธีรักษาที่สะดวกและคนส่วนใหญ่คุ้นเคยกันมานาน แต่ด้วยข้อมูลทางวิชาการในปัจจุบัน ยืนยันว่าการใช้ยาม่วงหรือเจนเชียน ไวโอเลตในสุนัขและแมวมีความเสี่ยงมากกว่าประโยชน์ โดยหากพบว่าสัตว์เลี้ยงมีปัญหาเรื่องผิวหนัง เจ้าของควรพามาพบสัตวแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมต่อไป
อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : NIH, ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สพญ.นรรฆวี แสงกลับ ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech