“Back to Basics” Thai PBS Sci & Tech พาย้อนกลับไปมองจุดเริ่มต้นพื้นฐานของทุกภารกิจที่มุ่งสู่อวกาศ เช่น ส่งยานอวกาศไปสำรวจจักรวาล ส่งดาวเทียมไปทำหน้าที่วงโคจร และนักบินอวกาศผู้ต้องปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติ ทั้งหมดทั้งมวลต่างต้องเริ่มต้นการเดินทางจาก “Spaceport” หรือฐานปล่อยจรวดบนพื้นโลก
ในอดีต ความสามารถในการส่งจรวดและดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจร เป็นสิ่งที่ถูกสงวนไว้สำหรับรัฐบาลและกิจการด้านทหารเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านพ้นไป บริษัทเอกชน และหน่วยงานอวกาศจากนานาประเทศ เริ่มเข้ามามีบทบาทในอุตสาหกรรมอวกาศมากขึ้น

ปล่อยจรวด Smart Dragon 3 จากฐานปล่อยทางทะเล ภาพจาก CALT
ล่าสุดเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 67 China Academy of Launch Vehicle Technology (CALT) ได้ปล่อยจรวด Smart Dragon 3 จากฐานปล่อยทางทะเลได้สำเร็จเป็นภารกิจที่สาม โดยนำส่งดาวเทียม 9 ดวง น้ำหนักรวม 1,500 กิโลกรัม ขึ้นสู่วงโคจร Sun-synchronous orbit
ฐานปล่อยจากเรือที่ถูกดัดแปลงให้ขนส่งจรวดขึ้นจากทะเล เป็นอีกหนึ่งแนวคิดที่น่าสนใจ เมื่อพิจารณาถึงขีดความสามารถในการขนส่งจรวดไปปล่อยได้จากตำแหน่งต่าง ๆ ตามความเหมาะสม เช่นเดียวกับช่วยลดความเสี่ยงของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับพื้นที่ใกล้เคียง ในกรณีที่การปล่อยจรวดจากฐานปล่อยบนแผ่นดินเกิดข้อผิดพลาด
📌อ่าน : อนาคตอาจปล่อยจรวดได้ทุกที่บนโลก “ไทย” ต้องเริ่มพัฒนา “โครงการอวกาศ” ตั้งแต่ตอนนี้
อย่างไรก็ตาม การปล่อยจรวดขึ้นจากฐานบนเรือกลางทะเล ยังมีข้อจำกัดเรื่องของน้ำหนักที่สามารถบรรทุกขึ้นสู่วงโคจร รวมไปถึงปัจจัยของการขนส่งดาวเทียมจนห้องคลีนรูมไปสู่เรือ และยังเป็นเทคโนโลยีที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาเพื่อพิสูจน์ความปลอดภัยและความเสถียรของระบบปล่อยจรวดโดยรวมเสียก่อน

เตรียมปล่อยจรวจเพื่อส่งยานอวกาศรัสเซีย Soyuz MS-24 ขึ้นสู่อวกาศ ภาพจาก AFP
ในส่วนของฐานปล่อยจรวดบนพื้นดิน ยังคงเป็นระบบขนส่งจรวดที่ยังใช้งานอย่างแพร่หลายโดยนานาประเทศ เนื่องจากมีความเสถียรกว่า และสามารถรองรับรูปแบบภารกิจที่หลากหลาย โดยมีค่าใช้จ่ายที่เหมาะสมสำหรับปัจจุบัน แม้จะมีข้อสังเกตในด้านผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมโดยรอบของฐานปล่อย หรือข้อจำกัดในด้านเส้นทางปล่อยจรวดขึ้นสู่วงโคจร เพื่อหลีกเลี่ยงบริเวณที่มีประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น
สหรัฐอเมริกามีฐานปล่อยจรวดจำนวนมากอยู่ที่แหลมคาเนเวอรัล (Cape Canaveral) และฐานทัพอวกาศแวนเดนเบิร์ก เช่นเดียวกับฐานปล่อยของรัสเซีย ที่ท่าอวกาศยานไบโคนอร์ หรือฐานปล่อยจิ่วฉวน และสีฉางของประเทศจีน ที่ยังคงให้บริการการนำส่งดาวเทียมและยานอวกาศ จากผู้ให้บริการจรวดรายต่าง ๆ ในปัจจุบัน โดยตลอดทั้ง ค.ศ. 2023 ทั่วทั้งโลกมีการส่งจรวดขึ้นสู่วงโคจรรวม 223 ครั้ง และประสบความสำเร็จทั้งสิ้น 211 ภารกิจ เป็นสถิติสูงสุดต่อปีเท่าที่เคยมีมา
ทั้งนี้ หน้าที่หลักของฐานปล่อยจรวด หรืออาจเรียกว่า “ท่าอวกาศยาน” หรือ Spaceport คือการนำส่งดาวเทียมและภารกิจต่าง ๆ ขึ้นสู่เป้าหมายบนอวกาศ โดยท่าอวกาศยานทั้งแบบบนพื้นดินและกลางทะเล ต่างมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบที่ไม่เหมือนกัน และการมีตัวเลือกรูปแบบฐานปล่อยจรวดเพิ่มเติม เพื่อรองรับกับการเติบโตของอุตสาหกรรมดาวเทียม ถือเป็นผลดีต่อภาครวมของกิจการอวกาศในองค์รวม
สำหรับตำแหน่งที่ตั้งของประเทศไทย มีความได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ในการพัฒนาท่าอวกาศยาน เนื่องจากตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรโลก และมีทางเลือกมุมสำหรับนำส่งดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรหลากหลายรูปแบบ เช่นเดียวกับมีระบบคมนาคมที่เอื้อต่อการขนส่งดาวเทียมและจรวดจากนานาประเทศ
ด้วยเหตุเช่นนี้ สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ได้ศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างและให้บริการท่าอวกาศยานประเภทต่าง ๆ ในไทย ร่วมกับ KARI (สถาบันวิจัยอวกาศและการบินเกาหลีใต้) เพื่อร่วมผลักดันโครงสร้างพื้นฐาน และส่งเสริมเศรษฐกิจด้านอุตสาหกรรมอวกาศในประเทศไทยและภูมิภาคโดยรอบ โดย KARI และรัฐบาลเกาหลีใต้ จะเป็นผู้ดำเนินการศึกษาและถ่ายทอดองค์ความรู้ร่วมกับทีมบุคลากรของไทย โดยพิจารณาจากปัจจัยความเป็นไปได้รอบด้าน ทั้งความเหมาะสมเชิงภูมิศาสตร์ ความเสี่ยงของภัยพิบัติ และผลกระทบที่อาจมีต่อชุมชนหรือสิ่งแวดล้อมโดยรอบ เป็นต้น
เพื่อช่วยขับเคลื่อน-พัฒนาขีดความสามารถ “อุตสาหกรรมอวกาศไทย” ผลักดันภารกิจ “อวกาศ” และส่งเสริม New Space Economy ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย อันจะนำมาซึ่งประโยชน์ต่อ “เมืองไทย” อย่างยิ่งยวดในอนาคต
📌อ่าน : จีนปล่อยจรวดแบบ Sea Launch “ไทย” ได้ประโยชน์อย่างไร ?
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : GISTDA สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน)