ปฏิเสธไม่ได้ว่า “อุตสาหกรรมการบินอวกาศ” กำลังเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ และมีบทบาทมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคตอันใกล้ อาจกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีกำลังขับเคลื่อนไม่เพียงแค่ทางด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม แต่จะยังรวมไปถึงด้านเศรษฐศาสตร์และการพัฒนาสังคมที่สำคัญอีกด้วย
ในโลกที่กำลังก้าวกระโดดไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งนี้ ใครที่หยุดอยู่กับที่ หรือทำได้แต่เพียงการไล่ตามคนอื่นเขา ย่อมจะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง การย่ำอยู่กับที่จึงไม่ต่างอะไรกับการก้าวถอยหลังไปโดยปริยาย
เราเคยเข้าใจกันมาตลอดว่า “ประเทศไทย” นั้นได้เปรียบเป็นอย่างมาก ในฐานะของประเทศที่ตั้งอยู่ใกล้เขตศูนย์สูตร ย่อมจะต้องเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการติดตั้งฐานปล่อยจรวด ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมากจากการอาศัยความเร็วต้นจากพื้นผิวโลกในแถบศูนย์สูตร พร้อมทั้งยังสามารถปรับเข้าสู่วงโคจรได้ด้วยพลังงานที่น้อยกว่า การจะมีฐานปล่อยจรวดออกจากผืนแผ่นดินไทยจึงเป็นหนึ่งในความหวังเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เรายังอาจจะพอมีอำนาจต่อรอง และสามารถรักษาข้อได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ของเราต่อวงการอวกาศเอาไว้ได้ เมื่อวันหนึ่งที่เราพร้อมจะก้าวขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบัน ทำให้การปล่อยจรวดพัฒนาขึ้นไปไกลอย่างมาก ตั้งแต่ระบบจรวดที่สามารถลงจอด และนำกลับมาใช้ใหม่ได้ของ SpaceX และล่าสุด 3 กุมภาพันธ์ 2567 สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ในฐานะหน่วยงานบริหารโครงการ Thai Space Consortium (TSC) ที่มุ่งสร้างดาวเทียมขึ้นเองโดยคนไทย ได้รับเชิญเข้าร่วมสังเกตการณ์การปล่อยจรวด Smart Dragon-3 จากเรือส่งจรวด โดยมีน้ำหนักบรรทุกรวม 1.5 ตัน ประกอบด้วยดาวเทียมกว่า 9 ดวงที่ถูกส่งขึ้นไปในอวกาศจากกลางทะเลจีนใต้
ระบบส่งจรวดจากเรือเชิงพาณิชย์ที่มีต้นทุนต่ำเช่น Smart Dragon-3 ชี้ให้เห็นว่าไม่ช้าก็เร็ว ข้อได้เปรียบเชิงภูมิศาสตร์ที่เราภาคภูมิใจกันมาตลอดนั้นก็จะกลายไปเป็นเพียงอดีตไป และบริษัทเอกชนมากมายที่สามารถส่งดาวเทียม หรือน้ำหนักบรรทุกใดก็ได้ขึ้นไปยังอวกาศด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูกลงทุกวัน จึงเกิดเป็นคำถามที่ว่า ยังจะมีความจำเป็นที่แต่ละประเทศจะต้องพัฒนาระบบจรวดและฐานขนส่ง หรือ spaceport ภายในประเทศกันอยู่อีกหรือไม่
“ในอดีตเคยมีความเชื่อว่าตำแหน่งใกล้เส้นศูนย์สูตรโลกของไทยเป็นข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่จะสร้างฐานปล่อยจรวด แต่เดี๋ยวนี้มีฐานปล่อยจรวดที่อยู่บนเรือสามารถล่องไปยิงดาวเทียมที่ไหนก็ได้ด้วยต้นทุนต่ำ ทำให้ข้อได้เปรียบนี้ค่อย ๆ เลือนหายไป อีกทั้งด้วยความที่ขณะนี้กำลังมีบริษัทเอกชนหน้าใหม่เข้ามาทำจรวดส่งดาวเทียมกันเยอะมาก จนนักวิเคราะห์คาดกันว่าจำนวนจรวดอาจจะล้นตลาดภายในปี 2028 ด้วยซ้ำ ประเด็นนี้เป็นเหตุให้ประเทศไทยยิ่งต้องลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีและกำลังคนด้านการสร้างดาวเทียม เพื่อให้ในอนาคตไทยสามารถใช้ประโยชน์จากการเข้าถึงอวกาศที่ต้นทุนกำลังลดต่ำลงฮวบฮาบ แต่ดาวเทียมจะยังมีราคาแพง ถ้าเราไม่สามารถสร้างเองได้ในประเทศโดยคนไทย” ดร.วิภู รุโจปการ รองผู้อำนวยการ สดร. และ ผู้จัดการโครงการ Thai Space Consortium ที่ไปร่วมสังเกตการณ์การปล่อยจรวดในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ หากประเทศไทยของเราไม่ต้องการจะถูกทิ้งเอาไว้เบื้องหลัง จึงนับเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง ที่ประเทศไทยของเราจะต้องเริ่มการพัฒนาโครงการอวกาศ ณ ตอนนี้ และพัฒนาไม่เพียงแต่ระบบการขนส่งลำเลียงทางอวกาศ แต่ยังรวมไปถึงตัวดาวเทียม น้ำหนักบรรทุก รวมไปถึงระบบการติดตามและบริหารการจัดการดาวเทียม ที่นับวันก็มีแต่จะมีความสำคัญที่เพิ่มมากขึ้น และนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ (สดร.) ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ และผลักดันให้เกิดโครงการภาคีความร่วมมืออวกาศไทย หรือ Thai Space Consortium (TSC) เพื่อตั้งโจทย์อันท้าทาย เพื่อให้เกิดการพัฒนาทั้งทางด้านวิศวกรรม และพัฒนากำลังคนที่จะเป็นแรงสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมอวกาศการบินในไทย ที่กำลังจะเติบโตขึ้นอย่างทวีคูณในอนาคต
มีภาษิตหนึ่ง กล่าวเอาไว้ว่า “เวลาที่ดีที่สุดในการปลูกต้นไม้ ก็คือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่เวลาที่ดีที่สุดถัดมา ก็คือเวลานี้” คำถามก็คือ ถึงเวลาหรือยัง ที่ประเทศไทยของเราจะสร้างดาวเทียมด้วยศักยภาพจากบุคคลากรของเราเอง
🎧 อัปเดตข้อมูลแวดวงวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รู้ทันโลกไอที และโซเชียลฯ ในรูปแบบ Audio จาก AI เสียงผู้ประกาศของไทยพีบีเอส ได้ที่ Thai PBS
“รอบรู้ ดูกระแส ก้าวทันโลก” ไปกับ Thai PBS Sci & Tech
ภาพจาก : China Academy of Launch Vehicle Technology (CALT)
แหล่งข้อมูลอ้างอิง : mckinsey, มติพล ตั้งมติธรรม นักวิชาการดาราศาสตร์ สดร.