เมื่อศาลพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด ผู้ที่กระทำความผิด จำต้องได้รับโทษ ซึ่งหนึ่งในการได้รับโทษ นั่นคือ การถูก “จำคุก” ตามโทษที่ได้รับจากความผิดนั้น ๆ
ทว่า เมื่อเข้าสู่กระบวนการจองจำ ยังมีกระบวนการอันน่าสนใจ อาทิ การลดโทษ การพักโทษ หรือแม้แต่การพ้นโทษ ทั้งหมดมีสาระสำคัญอย่างไร Thai PBS ชวนทำความรู้จักกัน
รู้จักที่มา “การจำคุก”
การจำคุก คือ การลงโทษทางอาญา ที่ให้จับตัวผู้กระทำความผิดไปขังไว้ในเรือนจำ ตามระยะเวลาที่ศาลพิพากษา โดยจะนับวันแรกที่เข้ารับโทษเป็นหนึ่งวันเต็ม และจะปล่อยตัวในวันถัดจากวันที่ครบกำหนดเวลาที่ศาลสั่ง
ทั้งนี้ เมื่อต้องโทษ และเข้าสู่กระบวนการถูกจำคุก ยังมีกระบวนการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ “ผู้ต้องขัง” อาทิ การลดโทษ การพักโทษ ตลอดจนการพ้นโทษ เป็นต้น
รู้จัก “การลดโทษ” คืออะไร ?
การลดโทษ คือ การลดวันต้องโทษจำคุกแก่นักโทษเด็ดขาดที่มีความประพฤติดี โดยระยะของการลดวันต้องโทษขึ้นอยู่กับ “ชั้น” ของผู้ต้องขัง ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 6 ชั้นด้วยกัน คือ
- ชั้นเยี่ยม
- ชั้นดีมาก
- ชั้นดี
- ชั้นกลาง
- ชั้นเลว
- ชั้นเลวมาก
นอกจากนี้ ในแต่ละชั้น แปรผันเป็นการลดวันต้องโทษได้ ดังนี้
- ชั้นเยี่ยม ได้ลดโทษ เดือนละ 5 วัน
- ชั้นดีมาก ได้ลดโทษ เดือนละ 4 วัน
- ชั้นดี ได้ลดโทษ เดือนละ 3 วัน
ตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 52 (5) บัญญัติไว้ว่า นักโทษเด็ดขาดที่จะได้รับการพิจารณา “ลดวันต้องโทษจำคุก” ต้องได้รับโทษจําคุกตามคําพิพากษาถึงที่สุดมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเป็นจำนวน 1 ใน 3 ของกําหนดโทษตามหมายศาล หรือไม่น้อยกว่า 10 ปีในกรณีที่ต้องโทษจําคุกตลอดชีวิตที่มีการเปลี่ยนโทษจําคุกตลอดชีวิต เป็นโทษจําคุกมีกําหนดเวลา
การขอพระราชทานอภัยโทษ อีกหนึ่งกระบวนการลดโทษ
การพระราชทานอภัยโทษ หมายถึง การพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณของพระมหากษัตริย์แก่ผู้ต้องโทษให้ได้รับการปล่อยตัว หรือลดโทษ หรือเปลี่ยนโทษ แล้วแต่กรณี ซึ่งขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัยของพระมหากษัตริย์ตามพระราชอำนาจที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
การพระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องโทษ แบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ
- การพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป คือ การที่พระมหากษัตริย์พระราชทานอภัยโทษให้แก่ผู้ต้องโทษอาญาทุกคนที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาตามการถวายคำแนะนำของคณะรัฐมนตรี โดยส่วนใหญ่จะมีขึ้นเมื่อมีเหตุอันสมควร เช่น พระราชประเพณีสำคัญ หรือวาระสำคัญต่อเหตุการณ์บ้านเมือง หรือเหตุผลในทางราชทัณฑ์
- การพระราชทานอภัยโทษเฉพาะราย คือ การพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษเป็นรายบุคคล โดยการทูลเกล้าฯ ถวายเรื่องราวขอพระราชทานอภัยโทษและถวายคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม แต่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือไม่ เพียงใด ขึ้นอยู่กับพระบรมราชวินิจฉัย
ทั้งนี้ การพระราชทานอภัยโทษแก่ผู้ต้องโทษ มีผลทางกฎหมายอยู่ 3 ลักษณะ คือ
- การพระราชอภัยโทษ ปล่อย โดยมีผลให้ผู้ต้องโทษ ไม่ต้องถูกบังคับตามคำพิพากษา และได้รับการปล่อยตัว
- การพระราชทานอภัยโทษ ลดโทษ มีผลให้ผู้ต้องโทษถูกบังคับตามคำพิพากษาแต่เพียงบางส่วน
- การพระราชทานอภัยโทษ เปลี่ยนโทษ มีผลให้ผู้ได้รับพระราชทานอภัยโทษที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ไม่ต้องถูกคำบังคับโทษตามคำพิพากษา แต่จะรับโทษตามโทษที่เปลี่ยนไป
อาสาสมัครออกทำงานสาธารณะ อีกหนึ่งกระบวนการลดโทษ
อีกหนึ่งในกระบวนการลดโทษของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ต้องขังที่มีความประพฤติดี และมีโทษจำคุกเหลือไม่มาก อาจได้รับการพิจารณาให้เป็นอาสาสมัคร เพื่อออกทำงานสาธารณะนอกเรือนจำ เช่น การขุดลอกคูคลอง ท่อระบายน้ำ นอกจากจะได้รับเงินปันผลจากงานอาสาสมัคร ผู้ต้องขังยังได้รับการลดโทษ เป็นจำนวนวันเท่ากับจำนวนวันที่ออกทำงานสาธารณะอีกด้วย
รู้จัก “การพักโทษ” คืออะไร ?
การพักโทษ คือ การปล่อยตัวนักโทษที่มีความประพฤติดี ที่อยู่ในระเบียบวินัย ขยันฝึกวิชาชีพ และทำความชอบแก่ราชการ ให้ออกมาอยู่นอกเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติ และโทษจำคุกตามคำพิพากษายังคงเหลืออยู่เช่นเดิม
การพักการลงโทษ แบ่งออกได้เป็น 2 กรณี คือ
- การพักโทษกรณีปกติ เป็นการพักโทษให้แก่นักโทษตั้งแต่ชั้นกลางขึ้นไปที่ได้รับโทษจำคุกมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือนหรือ 1 ใน 3 ของกำหนดโทษที่ระบุไว้
- การพักการลงโทษกรณีพิเศษ เป็นกรณีที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์พิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุพิเศษที่จะพักการลงโทษให้แก่นักโทษมากกว่ากรณีปกติ เช่น เป็นผู้สูงอายุ เจ็บป่วยร้ายแรงหรือพิการ เป็นต้น
ทั้งนี้ เกณฑ์ในการขอพักโทษ นักโทษต้องอยู่ในข่ายดังนี้
- ต้องจำคุกมาไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ
- ถ้าเป็นคดีจำคุกตลอดชีวิต ต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่า 10 ปี
ระยะเวลาของการพักโทษ
- ชั้นเยี่ยม ได้พักไม่เกิน 1 ใน 3 ของกำหนดโทษ
- ชั้นดีมาก ได้พักไม่เกิน 1 ใน 4 ของกำหนดโทษ
- ชั้นดี ได้พักไม่เกิน 1 ใน 5 ของกำหนดโทษ
เมื่อได้รับการพักโทษ ผู้ถูกคุมประพฤติจะต้องประพฤติปฏิบัติตามเงื่อนไข 8 ข้อ ดังนี้
- ต้องพักอาศัยอยู่ตามที่อยู่ตามที่ได้แจ้งไว้กับทางเรือนจำ
- ห้ามออกนอกเขตท้องที่ที่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาต
- ห้ามประพฤติตนเสื่อมเสีย เช่น เล่นการพนัน ดื่มสุรา ยาเสพติด และกระทำผิดอาญาขึ้นอีก
- ประกอบอาชีพโดยสุจริต
- ปฏิบัติตามลัทธิศาสนา
- ห้ามพกพาอาวุธ
- ห้ามไปเยี่ยมบ้านหรือติดต่อกับนักโทษอื่นที่ไม่ใช่ญาติ
- ให้ไปรายงานตัวกับพนักงานคุมประพฤติเรือนจำ เจ้าพนักงานปกครอง หรือหัวหน้าสถานีตำรวจทุกเดือน
รู้จัก “การพ้นโทษ” คืออะไร ?
การพ้นโทษ หมายถึง การที่บุคคลพ้นจากการถูกจองจำ หรือรับโทษตามคำพิพากษาของศาล ทั้งนี้ การพ้นโทษไม่ใช่เพียงการออกจากคุก แต่ยังรวมถึงการพ้นจากภาระทางกฎหมายที่ต้องชดใช้โทษตามคำพิพากษา ที่มาของการพ้นโทษ มีได้หลายรูปแบบ
- ครบกำหนดโทษตามคำพิพากษา
- การพักการลงโทษ ปล่อยตัวออกจากเรือนจำก่อนครบกำหนดโทษ ภายใต้เงื่อนไขการคุมประพฤติ
- การได้รับพระราชทานอภัยโทษ เป็นการได้รับยกโทษหรือลดหย่อนโทษตามพระราชอำนาจ
- การได้รับการปลดปล่อยโดยเหตุอื่น ๆ เช่น ได้รับการปล่อยจากคุกโดยมีเงื่อนไขอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด
Did You Know ?
โทษจำคุก 1 ปี ไม่ได้เท่ากับ 12 เดือน
โดยปกติ การนับวันเวลาตามปีปฏิทิน 1 ปี หรือ 12 เดือน จะเท่ากับ 365 วัน หรือ 366 วัน ซึ่งต่างกับการนับวันเวลาตามกฎหมาย โดยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 กำหนดให้ระยะเวลา 1 เดือน เท่ากับ 30 วัน ดังนั้น หากได้รับโทษเป็นเวลา 1 ปี หรือ 12 เดือน จะต้องได้รับโทษทั้งสิ้น 360 วัน
แม้ “กฎหมาย” จะมีกติกาควบคุมตัวผู้กระทำความผิด ทว่าเหนือไปจากการชดใช้ความผิด คือ “การสำนึกผิด” และพร้อมกลับตัวกลับใจ เพื่อเริ่มต้นวิถีชีวิตใหม่ ที่ดีขึ้นกว่าเดิม…
อ้างอิง
- ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 / มาตรา 21
- การลดวันต้องโทษจำคุก / หอสมุดรัฐสภา
- การพักการลงโทษ / หอสมุดรัฐสภา
- การพระราชทานอภัยโทษ / หอสมุดรัฐสภา