ไทยพีบีเอส จัดเสวนา “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย” ไทยพีบีเอส จัดเสวนา “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย”
กิจกรรม

ไทยพีบีเอส จัดเสวนา “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย”

0 ครั้ง

ไทยพีบีเอส จัดเสวนา “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย” สร้างสุขภาพจิตที่ดีของพ่อ – แม่ – ผู้ปกครอง และเด็ก เติบโตไปด้วยกัน

องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ไทยพีบีเอส จัดเสวนา Talk about kids “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย” กับ ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์ เจ้าของเพจเลี้ยงลูกตามใจหมอ และ พญ.ทานตะวัน จอมขวัญใจ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน เจ้าของเพจหมอหน่อย Dr. Noi The Family ในงาน “Thai PBS Kids Day 2567 ด.เด็กอารมณ์ดี” เมื่อที่ 13 ม.ค. 67 มุ่งเชื่อมความสัมพันธ์ในครอบครัวด้วยความเข้าใจ

ผศ.นพ.วรวุฒิ เชยประเสริฐ กุมารแพทย์ กล่าวว่า เด็กมีความหลากหลาย บางคนอารมณ์ดี บางคนขี้หงุดหงิด ขึ้นอยู่กับพื้นฐานการเลี้ยงดู ซึ่งเด็กที่อารมณ์ดี เพราะเด็กได้อยู่กับแม่ที่มีอยู่จริง คนที่ให้ความรัก หิวก็มีนมให้กิน เมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัยก็มีคนอุ้ม เด็กจึงรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย เพราะได้รับการสนองตอบต่อความต้องการขั้นพื้นฐาน เกิดความไว้ใจคนดูแล ไว้ใจโลก ขณะที่เด็กขี้หงุดหงิด จะตรงกันข้าม เขาอาจรู้สึกไม่ปลอดภัย หิวก็ไม่ได้กิน ง่วง ท้องอืดร้องไห้ก็ไม่ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสม อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องกังวลว่า โตไปแล้วจะไม่มีความสุข และไม่เกี่ยวกับพัฒนาการ หากพ่อแม่เข้าใจ สามารถปรับทัศนคติการเลี้ยงดูลูกใหม่ก็ไม่สายเกินกว่าที่จะแก้ไข

ผศ.นพ.วรวุฒิ กล่าวต่อว่า ในวัย 2 ขวบ เด็กจะมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อทั้งมัดใหญ่และมัดเล็ก เด็กจึงอยากทดสอบร่างกายที่มีศักยภาพใหม่ ๆ และมองตนเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล เริ่มมีคำพูดติดปากว่า “ไม่” เพื่อดูปฏิกิริยาตอบกลับว่า การปฏิเสธ จะส่งผลกับคนรอบข้างอย่างไร เราจึงเห็นเด็กที่นอนดิ้นกับพื้น ร้องไห้เป็นชั่วโมง ซึ่งเด็กจะถูกมองว่า ซน ดื้อ

ดังนั้นผู้ปกครองจึงต้องมีความเข้าใจ อาจยอมในบางเรื่อง และใจแข็งเด็ดขาดบางเรื่องให้ชัดเจน อีกประเด็นที่น่าเป็นห่วง คือ พ่อแม่ไม่ควรให้เด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบติดหน้าจอ หรือใช้มือถือ ส่วนเด็กอายุมากกว่า 2 ขวบ ก็มีผลวิจัยแล้วว่า ไม่ควรใช้เวลาเกิน 1 ชั่วโมง/วัน และควรอ่านนิทานให้ลูกฟังทุกวัน โดยที่ดินสออ่านหนังสือ หรืออุปกรณ์สื่อการสอนใด ๆ ก็ไม่สามารถทดแทนได้ แต่สามารถนำมาใช้เป็นอุปกรณ์เสริมได้ หากปล่อยเด็กไว้ ตามลำพัง แม้สื่อการสอนจะดีแค่ไหนก็อาจไม่เกิดประโยชน์”

ขณะที่เด็ก 3 ขวบ ซึ่งอยู่ในวัยอนุบาล จะเปลี่ยนคำพูดที่พูดบ่อย ๆ จาก “ไม่” เป็น “ทำไม” และเริ่มเรียนรู้เหตุผลแบบง่าย ๆ การเล่นแบบจำลองเหตุการณ์ต่าง ๆ เรียนรู้ผ่านการเล่นเป็นสิ่งสำคัญ แนะนำให้การเรียนเป็นเพียงช่วงหนึ่งของวัน ไม่เช่นนั้น จะไม่ดีกับพัฒนาการตามวัย รวมทั้งสอนให้เข้าใจสิทธิตนเองและสิทธิของผู้อื่น พร้อมให้โอกาสเลือกในสิ่งที่ชอบ โดยใช้วิธีการสื่อสารตามตรง ซึ่งเด็กสามารถเข้าใจได้ในวัยนี้

สำหรับ วัย 4 – 6 ปี พัฒนาการไม่ต่างกันมาก เด็กเริ่มเข้าสังคมเพื่อนเล่น และช่วยเหลือตนเองได้ วัยนี้อาจต้องสอนให้รู้วิธีการเล่นด้วยกัน อาจมีปัญหาแย่งของเล่นกันบ้างเป็นเรื่องปกติ แต่หากเด็กรู้จักแบ่งปัน ผู้ใหญ่ต้องชื่นชม เพราะเด็กจะทำดีเพื่อได้คำชม และเข้าใจการแบ่งบันจริง ๆ ตอน 5 ขวบ เมื่อถึงวัย 7 – 9 ปี เด็กจะลงมือทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีตรรกะเหตุผลชัดเจน แบบขาวกับดำ และมักถามกลับเรื่องกฎ กติกา ความแตกต่าง และพร้อมเข้าสู่วัยเรียน วัยนี้พ่อแม่ต้องอยู่ข้าง ๆ คอยให้กำลังใจ ให้เด็กได้ลงมือทำไปถึงจุดหมาย ซึ่งเด็กจะเรียนรู้ผ่านบรรยากาศที่ดี ไม่ใช่การตำหนิ ซึ่งจะทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ ไม่มีความมั่นใจ และทำให้ลูกไม่มีความสุขได้

“การเลี้ยงเด็กด้วยความเชื่อแบบเก่า ๆ ไม่ดีต่อพัฒนาการเด็กทั้งระยะสั้น ระยะยาว อย่างการติเพื่อก่อ หรือการตี ความเชื่อที่ว่า ชมมากไม่ได้เดี๋ยวเหลิง ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ครอบครัวควรจะได้มีช่วงเวลาที่ดีร่วมกัน เด็กเล็กได้เล่น ได้แสดงออกอย่างเต็มที่ เด็กโต ก็ดูแลข้าง ๆ ให้กำลังใจ ไม่เป็นพ่อแม่ที่น่ากลัว ด่าว่า ไม่เคยชม ตำหนิอย่างเดียว แต่ต้องเน้นสื่อสารเชิงบวก การเลี้ยงลูกไม่มีคำว่าสายเกินไป เพราะหากแม่พ่อเปลี่ยน ลูกก็จะเปลี่ยน” ผศ.นพ.วรวุฒิ กล่าว

ด้าน พญ. ทานตะวัน จอมขวัญใจ แพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉิน กล่าวว่า “จากประสบการณ์การเลี้ยงลูก ในขวบปีแรก พ่อ แม่ ต้องเป็นคนที่เข้าใจมากที่สุดว่าลูกต้องการอะไร หรืออะไรทำให้ลูกหงุดหงิดน้อยลง และเนื่องจากเด็กยังไม่สามารถสื่อสารได้ การใช้ภาษากายในการสื่อสารจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเด็กจะเรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยเริ่มสำรวจร่างกายตัวเองก่อน เรียนรู้ผ่านร่างกายพ่อแม่ พอเริ่มคลานได้ก็เริ่มสำรวจวิ่งรอบตัว ดังนั้น ควรจะเตรียมพื้นที่ปลอดภัยและของเล่นปลอดภัยสำหรับลูก เพื่อส่งเสริมให้การเรียนรู้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 อย่างเต็มที่”

การห้ามตลอดเวลา เป็นการทำลายตัวตนของเด็ก เด็กจะรู้สึกว่าตนทำอะไรไม่ได้เลย ตัวตนของเด็กจะพัฒนาได้ไม่เต็มที่ ดังนั้น อยากให้เน้นการช่วยเหลือตัวเอง ให้เขาได้จัดการควบคุมชีวิตของเขาได้” พญ. ทานตะวัน กล่าวย้ำ

พญ. ทานตะวัน กล่าวถึงวัยทอง 2 ขวบ (Terrible Twos) ว่า เป็นอาการที่พบได้ทั่วไปของช่วงวัย 2-3 ขวบ เด็กจะแสดงอารมณ์หรือพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป เช่น หวีดร้อง ฉุนเฉียว ต่อต้าน และโยนสิ่งของเมื่อไม่ได้ดั่งใจ อารมณ์หรือพฤติกรรมเหล่านี้มักดีขึ้นเมื่อเด็กมีอายุ 4 ปี หรือสามารถเข้าใจและสื่อสารความต้องการของตนเองได้ กิจกรรมระหว่างนี้ ควรใช้วิธีให้ตัวเลือก ปล่อยให้เขาได้ทดลองผิดถูก ซึ่งจะทำให้เด็กจะมีความมั่นใจตนเองมากขึ้น ขณะเดียวกันเมื่อรู้ว่าเด็กชอบอะไร ควรส่งเสริมกิจกรรมที่ชื่นชอบ ให้อิสระ แสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่

“หากคุณพ่อคุณแม่ ไม่ได้เลี้ยงลูกมาอย่างที่หมอแนะนำเลยจะทำอย่างไร แม้การซ่อมวัยรุ่นจะยากกว่าการสร้าง แต่ไม่ใช่ทำไม่ได้ หากพ่อแม่เปลี่ยนวิธีคิดใหม่ เข้าใจและคอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ตึงหรือหย่อนเกินไป ปล่อยวางในสิ่งเล็กๆ น้อย ใช้เวลาที่มีร่วมกันอย่างมีคุณภาพ ก็จะเป็นครอบครัวที่เติบโตไปด้วยกันได้อย่างมีความสุขแน่นอน”

ชมคลิปย้อนหลังเสวนา “เลี้ยงลูกให้อารมณ์ดี ตามพัฒนาการแต่ละช่วงวัย” 

สามารถติดตาม ALTVช่อง 4 ทีวีเรียนสนุก ได้ที่

สามารถติดตามไทยพีบีเอสทุกช่องทางออนไลน์ ได้ที่
▪ Social Media Thai PBS : Facebook, YouTube, X (Twitter), LINE, TikTok, Instagram
▪ Website : www.thaipbs.or.th
▪ Application : Thai PBS