คึกคักเกินต้าน!! กับศึกดวลวิสัยทัศน์บนเวทีดีเบต  “ไทยพีบีเอส ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย” คึกคักเกินต้าน!! กับศึกดวลวิสัยทัศน์บนเวทีดีเบต  “ไทยพีบีเอส ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย”
กิจกรรม

คึกคักเกินต้าน!! กับศึกดวลวิสัยทัศน์บนเวทีดีเบต “ไทยพีบีเอส ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย”

0 ครั้ง

ไทยพีบีเอส จัดหนักจัดเต็มเปิดศึกดวลวิสัยทัศน์ 10 พรรคการเมืองว่าที่รัฐบาลชุดใหม่มาประชันกันอย่างดุเดือดบนเวทีดีเบต “ไทยพีบีเอส ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย” เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ดำเนินรายการโดยสื่ออาวุโส “สุทธิชัย หยุ่น” และ “พรวดี ลาทนาดี” ผู้ประกาศข่าวไทยพีบีเอส พร้อมถ่ายทอดสดให้ทุกคนได้รับชมผ่านทางไทยพีบีเอส ตั้งแต่เวลา 18.00 – 20.30 น.

โดยบรรยากาศในงานเวทีดีเบต คึกคักตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะมีกองเชียร์และผู้สนับสนุนที่เดินทางมาร่วมส่งกำลังใจให้ตัวแทนพรรคการเมืองที่มาประชันวิสัยทัศน์และตอบคำถามบนเวทีดีเบตใหญ่ในครั้งนี้ ซึ่งประเด็นคำถามบนเวทีนั้นได้เริ่มต้นมาจากกระบวนการรับฟังเสียงของประชาชนใน 6 ประเด็นสำคัญ คือ ด้านสังคม การศึกษา สุขภาพ เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และรัฐ/ระบบราชการ ผ่านนวัตกรรมกระบวนการ Policy Innovation และวิธีการแบบสตาร์ทอัพในการสร้างและนำเสนอนโยบาย กลั่นกรองมาเป็นโจทย์ 12+1 นโยบาย เปิดให้ประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศได้โหวตหัวข้อที่ต้องการให้ตัวแทนพรรคการเมืองได้ตอบมากที่สุด รวมไปถึงประเด็นร้อนของประเทศ เช่น การปฏิรูปกองทัพ ยกเครื่องตำรวจ ปราบคอร์รัปชัน การกระจายอำนาจ ประชานิยม กระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มโอกาสทำกิน โดยมีตัวแทนทั้ง 10 พรรคการเมืองที่มาร่วมบนเวทีดีเบตในครั้งนี้ ได้แก่
• นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย
• นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า
• นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา
• พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย
• นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย
• นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
• คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย
• นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ
• นายวิทยา แก้วภราดัย กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ
• นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์

 

ช่วงที่ 1 : การแสดงวิสัยทัศน์ รู้ประเด็น เห็นทางออก

ทุกพรรคจะต้องสะท้อนปัญหาที่แต่ละพรรคได้ให้ความสำคัญมากที่สุด โดยอ้างอิงจากข้อมูลนโยบายบนเว็บไซต์ www.ect.go.th หรือสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ถึงนโยบายของแต่ละพรรค และการใช้งบประมาณ จึงนำไปสู่การแสดงวิสัยทัศน์เพื่อหาทางออก กับ 1 คำถามที่ว่า “ภายใน 6 เดือนถ้าท่านได้เป็นรัฐบาล นโยบายไหนที่จะเปลี่ยนประเทศไทยได้มากที่สุด และใช้เงินจากไหน” โดยคำตอบที่เรียกเสียงปรบมือจากกองเชียร์คือการตอบคำถามของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวว่า “หนึ่งล้านล้านไม่ได้เพิ่มภาษี ไม่ได้ไปก่อหนี้เพิ่ม แต่เป็นเงินที่อยู่ในระบบอยู่แล้วแต่ไม่เอามาใช้ เช่น กองทุนวายุภักษ์ จากธนาคารออมสิน ธนาคาร ธกส. เป็นต้น อันนี้ระบุไว้ในเอกสาร ประชาธิปัตย์เป็นพรรคแรกที่ กกต.บอกว่า ถูกต้องตามระเบียบ กกต. ทุกอย่าง”
และการตอบคำถามแบบรวบตึงของ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ที่กล่าวว่า “ตอนนี้ผมเห็นประเทศไทยเป็นสามเหลี่อม คือ 1% กับ 99% การฟื้นตัวหลังโควิดทำให้ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ผมอยากเห็นประเทศไทยกลับหัว เป็นเหมือนกับโลโก้พรรคก้าวไกล ที่ประชาชน 99% เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการเมือง เศรษฐกิจ หรือสังคม”

ช่วงที่ 2 : ผลโหวต 5 คำถาม กับนโยบายที่ประชาชนอยากได้คำตอบมากที่สุด

จากโจทย์ 12+1 นโยบาย ที่มาจากกระบวนการรับฟังเสียงของประชาชนใน 6 ประเด็นสำคัญ ผ่านกระบวนการและนวัตกรรมต่าง ๆ จนถึงการเปิดโหวต รับฟังความต้องการของคนทั้งประเทศ ตั้งแต่วันที่ 12 – 20 เมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวนผู้โหวตอยู่ที่ 16,219 คน และตัวแทนทั้ง 10 พรรค สุ่มจับคำถามเพื่อตอบในประเด็นคำถามเหล่านี้ ได้แก่
ประเด็นที่ 1 : ปราบคอร์รัปชันในระบบรัฐ ผู้ที่ได้ตอบคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการนโยบายพรรคเพื่อไทย
ประเด็นที่ 2 : สวัสดิการสุขภาพ ผู้ที่ได้ตอบคือ นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า และนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
ประเด็นที่ 3 : สิ่งแวดล้อม อากาศสะอาด ผู้ที่ได้ตอบคือ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ประเด็นที่ 4 : แก้หนี้ แก้จน ผู้ที่ได้ตอบคือ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย และนายวิทยา แก้วภราดัย กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ
ประเด็นที่ 5 : นโยบายเพื่อคนสูงวัย ผู้ที่ได้ตอบคือ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคพลังประชารัฐ
โดยคำตอบที่เรียกเสียงฮือฮาจากกองเชียร์ในช่วงนี้ คือคำตอบของ นายวราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า “หนี้ที่มีปัญหามากที่สุดเวลาเราหาเสียงตามชนบทเราจะเจอจริง ๆ ก็คือหนี้จากความจน” ต่อด้วย นายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคชาติพัฒนากล้า กล่าวว่า “ทุกคนนอกจากจะมีโอกาสได้รับการศึกษาในระดับเดียวกันแล้ว ต้องมีโอกาสได้รับการบริการทางด้านสาธารณสุขในระดับเดียวกันด้วย” และคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ หัวหน้าพรรคไทยสร้างไทย เผยว่า “เราจะเชื่อมเหนือลงใต้ผ่านไทยถือเป็น Best Location ที่ดีที่สุดของโลก แม้ว่าจะผ่าน 2 มหาสมุทรอินเดีย และแปซิฟิกก็ต้องผ่านไทย ดังนั้น North East South West ประเทศไทยคือศูนย์กลางค่ะ เพราะเราจะจับมือกับประเทศรอบด้าน ดังนั้นเราจะสู้อะไรเขาได้ ถ้าเราไม่กล้าคิดนอกกรอบ”

ช่วงที่ 3 : จับคู่ดีเบต 3 ประเด็นร้อนของประเทศ โต้แย้งด้วยนโยบายพรรคที่เห็นต่างและเห็นด้วย

เปิดโอกาสให้เหล่าตัวแทนพรรคได้โต้แย้งกันอย่างเข้มข้มในประเด็นที่ร้อนแรงของประเทศ ได้แก่
1. ปฏิรูปกองทัพ-ยกเครื่องตำรวจ ซึ่งพรรคที่ได้ตอบคือ พรรคไทยสร้างไทย พรรคเสรีรวมไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ
2. ปราบคอร์รัปชัน ซึ่งพรรคที่ได้ตอบคือ พรรคประชาธิปัตย์ พรรคก้าวไกล และพรรคชาติพัฒนากล้า
3. ประชานิยม-กระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งพรรคที่ได้ตอบคือ พรรคเพื่อไทย พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย และพรรคชาติไทยพัฒนา
โดยคำตอบในช่วงนี้เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่เข้มข้นที่สุดสำหรับการโต้แย้งกันในประเด็นที่เผ็ดร้อนในหัวข้อ ปฏิรูปกองทัพ-ยกเครื่องตำรวจ ซึ่งนับว่าเป็นช่วงที่คึกคักที่สุดที่ นายวิทยา แก้วภราดัย กรรมการบริหารพรรครวมไทยสร้างชาติ กล่าวว่า “กฎหมายที่มีโทษทางอาญาในประเทศไทยมีเป็น 1,000 ฉบับ แต่เราใช้พนักงานสอบสวนเพียงชุดเดียวสอบสวนทุกคดีที่มีความซับซ้อน และที่สำคัญที่สุดคนที่อยู่ในระบบสอบสวนจะรู้สึกว่ามีโอกาสน้อยเพราะใช้อำนาจในทางคดีอย่างเดียว แต่คนที่มีอำนาจในการจับกุมปราบปรามมีอำนาจรอบราชอาณาจักร จึงเป็นที่มาของการวิ่งเต้นเข้าสู่ตำแหน่งที่ไม่ปกติ” ทำให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย เสริมขึ้นว่า “ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่านายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานข้าราชการตำรวจ” กล่าวต่อว่า “ผมนักการเมืองสมัยใหม่ มองว่านักการเมืองที่มาจากทหารเป็นเผด็จการที่ปล้นชาติมากกว่านักการเมืองทั่วไปอีก” ทำให้ช่วงนี้คึกครื้นและเรียกเสียงปรบมือจากกองเชียร์เป็นพิเศษมากกว่าช่วงอื่น ๆ

 

ปิดท้ายด้วยการหาเสียงของแต่ละพรรค ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นคำมั่นสัญญาว่า “จะทำอนาคตของประเทศไทยให้ดีขึ้นได้อย่างไร หรืออะไรที่จะไม่ทำ” นอกจากนี้ยังมีเสียงสะท้อนจากประชาชนทั่วประเทศส่งเข้ามาเพื่อขอเป็นคำมั่นสัญญาว่าตัวแทนพรรคการเมืองจะรับฟัง และนำข้อเสนอของประชาชนทำให้เกิดขึ้นจริงเพื่ออนาคตของประเทศไทยต่อไป
ซึ่งการประชันวิสัยทัศน์บนเวทีดีเบตในครั้งนี้ คำตอบของใครจะคว้าใจ คว้าคะแนนเสียงของประชาชนไปได้ สามารถติดตามชมการแสดงวิสัยทัศน์ทั้ง 10 พรรคการเมืองบนเวที “ไทยพีบีเอส ดีเบตใหญ่ เลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย” รับชมย้อนหลังผ่านทาง www.thaipbs.or.th/Election66

 

วันที่ 14 พฤษภาคม 2566 ไทยพีบีเอส ชวนประชาชนออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง โดยเลือกคนที่รักเลือกพรรคที่ชอบ และชวนเกาะติดรายงานผลคะแนนแบบ Real-Time โดยทีมข่าวและนักข่าวพลเมืองกว่า 500 คนทั่วประเทศ กับรายการพิเศษ “เกาะติดเลือกตั้ง 66 เลือกอนาคตประเทศไทย” ที่มีคุณสุทธิชัย หยุ่น ร่วมดำเนินรายการ ตั้งแต่เวลา 16.00 น. เป็นต้นไป ทางไทยพีบีเอส ช่องหมายเลข 3 หรือชมสดผ่านเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th/live