ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ
คนสู้โรค
คนสู้โรค

สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค

หน้ารายการ
14 ก.พ. 68

ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม โรคระบาด หรือแม้แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี“สุขภาพจิต” ได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญและถูกพูดถึงมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายคนอาจเคยคิดว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเฉพาะกับผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว สุขภาพจิตที่ดีคือรากฐานสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ และปัญหาด้านสุขภาพจิตก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่วัยเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ

รายการ "คนสู้โรค" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ภัทรวรรธน์ สุขยิรัญ นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานจิตวิทยา โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ผู้ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกและมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบัน วิธีการสังเกตตนเองและคนรอบข้าง ตลอดจนนโยบายเชิงรุกจากภาครัฐในการดูแลสุขภาพจิตของประชาชน บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปสำรวจสถานการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายทางสุขภาพจิตในยุคปัจจุบัน

สถานการณ์สุขภาพจิตคนไทยวันนี้: ความเครียดที่เพิ่มขึ้นในทุกช่วงวัย

จากการสำรวจข้อมูลของกรมสุขภาพจิตตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา พบว่าคนไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุขยีรัน ชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์นี้อาจมองได้สองมุม มุมหนึ่งคือการที่ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น และตระหนักว่าตนเองสามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพจิตได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการเปิดกว้างและการยอมรับในสังคม แต่อีกมุมหนึ่งคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยและสังคมโลกได้เผชิญกับปัจจัยรุมเร้ามากมาย ทั้งวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5, โรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง, รวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีที่ทำให้คนต้องปรับตัวอย่างมหาศาล ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดในทุกช่วงวัย

ผลกระทบต่อแต่ละช่วงวัย:

  • วัยเด็กและวัยรุ่น: การเผชิญหน้ากับโลกดิจิทัลและความท้าทายรอบด้าน ในยุคที่โลกโซเชียลมีเดียเข้าถึงได้ง่ายและรวดเร็ว วัยเด็กและวัยรุ่นต้องเผชิญกับความกดดันที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเปรียบเทียบตนเองกับผู้อื่น การรับมือกับการบูลลี่ในโลกออนไลน์ (Cyberbullying) หรือการติดเกมและสื่อลามกอนาจาร ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อพัฒนาการทางอารมณ์และสังคมของพวกเขา นอกจากนี้ ความกดดันด้านการเรียน การแข่งขันทางวิชาการ และความคาดหวังจากผู้ปกครอง ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีความเครียดสูง วัยนี้เป็นวัยที่กำลังค้นหาตัวตนและสร้างความสัมพันธ์กับโลกภายนอก การที่ต้องเผชิญกับปัจจัยกระตุ้นความเครียดจำนวนมาก ทำให้พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น เช่น ภาวะซึมเศร้า วิตกกังวล หรือแม้แต่ปัญหาการติดสารเสพติดในโรงเรียนและสถาบันการศึกษา การให้ความรู้เรื่องสุขภาพจิต การจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมความเข้าใจในตนเองและผู้อื่น การฝึกทักษะการรับมือกับความเครียด และการสร้างพื้นที่ปลอดภัยให้เด็กและวัยรุ่นได้แสดงออกและขอความช่วยเหลือ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง การสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการใช้โซเชียลมีเดียอย่างไม่เหมาะสม และการส่งเสริมให้เกิดการใช้งานเทคโนโลยีอย่างชาญฉลาด (Digital Literacy) ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ต้องเน้นย้ำ เพื่อให้เยาวชนสามารถเติบโตในโลกดิจิทัลได้อย่างปลอดภัยและมีสุขภาพจิตที่ดี
  • วัยผู้ใหญ่และวัยทำงาน: แรงกดดันจากชีวิตและหน้าที่ความรับผิดชอบ สุขยีรัน เปิดเผยว่าประมาณร้อยละ 30 ของประชากรวัยผู้ใหญ่หรือวัยทำงานในปัจจุบัน มีระดับความเครียดสูง วัยนี้เป็นวัยที่ต้องแบกรับภาระหน้าที่และความรับผิดชอบมากมาย ทั้งในชีวิตส่วนตัว การงาน และครอบครัว ปัญหาเศรษฐกิจ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น การแข่งขันในตลาดแรงงานที่รุนแรง และความไม่มั่นคงในอาชีพการงาน ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดความเครียดเรื้อรังได้ง่าย นอกจากนี้ วัยผู้ใหญ่หลายคนยังต้องเผชิญกับภาวะที่เรียกว่า "Sandwich Generation" คือต้องดูแลทั้งบุตรหลานและบุพการีในเวลาเดียวกัน ซึ่งเพิ่มแรงกดดันทั้งด้านเวลา พลังงาน และการเงิน การทำงานภายใต้ความกดดันสูง การขาดสมดุลระหว่างชีวิตส่วนตัวและการทำงาน (Work-Life Balance) และการขาดโอกาสในการผ่อนคลายหรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ก็สามารถนำไปสู่ภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout) หรือปัญหาภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวลได้สำหรับวัยทำงาน การสร้างสมดุลชีวิต การรู้จักจัดลำดับความสำคัญของงานและการพักผ่อน การหาเวลาทำกิจกรรมที่ผ่อนคลายและส่งเสริมสุขภาพจิต เช่น การออกกำลังกาย การฝึกสติ การเจริญสมาธิ หรือการใช้เวลากับงานอดิเรกที่ชอบ เป็นสิ่งสำคัญ การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานหรือกิจกรรมที่มากเกินไป การจัดการเวลาอย่างมีประสิทธิภาพ และการสร้างเครือข่ายสนับสนุนทางสังคมกับเพื่อนร่วมงานและครอบครัว ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยลดความเครียดและเสริมสร้างความเข้มแข็งทางจิตใจได้
  • วัยสูงอายุ (วัยเก๋า): ความเปราะบางที่ซ่อนอยู่ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลง ผู้สูงอายุ หรือที่สุขยีรันเรียกว่า "วัยเก๋า" คือกลุ่มคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป แม้จะเป็นวัยที่หลายคนคาดหวังว่าจะได้พักผ่อนจากงานประจำและใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่กลับพบว่าวัยนี้ก็มีความเครียดเพิ่มขึ้นเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายที่ถดถอยลง ด้านจิตใจ และบทบาททางสังคมที่เปลี่ยนไป ล้วนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตของผู้สูงอายุอย่างมีนัยสำคัญ ผู้สูงอายุบางท่านอาจรู้สึกสูญเสียตัวตนเมื่อต้องหยุดทำงานประจำที่เคยทำมาตลอดชีวิต บางรายอาจเผชิญกับการสูญเสียคู่ชีวิต เพื่อน หรือบุคคลอันเป็นที่รัก ทำให้เกิดความเศร้าและภาวะซึมเศร้าได้ง่าย นอกจากนี้ การที่สุขภาพกายเริ่มมีปัญหา การเคลื่อนไหวไม่สะดวก หรือมีโรครุมเร้า ก็ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตและทำให้เกิดความกังวลใจสุขยีรันเน้นย้ำว่า ผู้สูงอายุเป็นวัยที่มีความเปราะบางสูงอยู่แล้ว และเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาดที่ทำให้ไม่สามารถพบปะลูกหลานหรือออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านได้เหมือนเดิม โอกาสในการหาความสุขหย่อนใจลดน้อยลง หากผู้สูงอายุไม่มีต้นทุนในการจัดการความคิดและอารมณ์ที่ดีพอ ก็อาจทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความเหงา หรือแม้แต่อาการสมองเสื่อมที่เกิดจากความเครียดสะสม ตัวเลขผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพจิตก็เพิ่มขึ้นใกล้เคียงกับวัยทำงานและวัยรุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง การสนับสนุนให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทางสังคมที่เหมาะสม การส่งเสริมให้ดูแลสุขภาพกายอย่างสม่ำเสมอ และการให้ความสำคัญกับการพูดคุยและรับฟังความรู้สึกของท่าน จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งเพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตที่ดีและสุขภาพจิตที่แข็งแรง

กายสัมพันธ์ใจ: เมื่อสุขภาพกายส่งผลต่อสุขภาพจิต

สุขยีรัน ย้ำถึงความเชื่อมโยงที่แยกกันไม่ออกระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต ปัญหาสุขภาพทางกายที่เกิดขึ้นตามวัยหรือจากสาเหตุอื่น ๆ สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจของเราได้หลายประการ

  • ปัญหาการนอนหลับ: การนอนหลับที่มีคุณภาพมีความสำคัญต่อสุขภาพจิตอย่างยิ่ง ปัญหาการนอนหลับ ไม่ว่าจะเป็นการนอนไม่หลับ (Insomnia) การนอนหลับไม่เพียงพอ หรือการที่วงจรการนอนหลับเปลี่ยนไป เช่น นอนดึกขึ้นและตื่นเร็วขึ้น ทำให้กลางวันง่วงเหงาหาวนอน สามารถส่งผลกระทบต่ออารมณ์และสมาธิได้ ผู้ที่อดนอนมักจะมีอารมณ์หงุดหงิดง่าย เครียดง่าย ตัดสินใจแย่ลง และประสิทธิภาพในการทำงานหรือทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันลดลง การปรับวงจรการนอนให้เป็นไปอย่างสม่ำเสมอ โดยพยายามเข้านอนและตื่นนอนในเวลาเดิมทุกวัน แม้ในวันหยุด การสร้างสภาพแวดล้อมในห้องนอนให้เอื้อต่อการนอนหลับ เช่น มืด เงียบ และเย็นสบาย หลีกเลี่ยงคาเฟอีนและแอลกอฮอล์ก่อนนอน รวมถึงหลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแสงสีฟ้าก่อนนอน ก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้คุณภาพการนอนหลับดีขึ้น และส่งผลดีต่อสุขภาพจิตตามมา
  • พฤติกรรมการกิน: อาหารที่เรากินส่งผลต่อร่างกายและสมองโดยตรง การทานอาหารรสจัด หวานจัด เค็มจัด หรือมันจัดมากเกินไป อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและส่งผลกระทบต่ออารมณ์ได้เช่นกัน การขาดสารอาหารบางชนิด หรือการทานอาหารที่ไม่สมดุล อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับพลังงานที่เพียงพอ หรือสารสื่อประสาทในสมองทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งอาจส่งผลให้มีอาการเหนื่อยล้า อารมณ์แปรปรวน หรือซึมเศร้าได้ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม ทานอาหารที่มีประโยชน์ครบถ้วน เน้นผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนไม่ติดมัน รวมถึงการดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และส่งเสริมสุขภาพจิตที่ดีได้
  • ความคาดหวังกับร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไป: หลายท่านอาจเคยทำอะไรได้มาก คล่องแคล่วกระฉับกระเฉงในวัยหนุ่มสาว แต่เมื่ออายุมากขึ้น หรือเมื่อเจ็บป่วย ร่างกายอาจไม่สามารถทำสิ่งเหล่านั้นได้เหมือนเดิม สุขยีรัน อธิบายว่า "ใจเรายังทำได้อยู่ แต่ร่างกายไม่ไปพร้อมกัน" ความรู้สึกขัดใจ หรือการที่รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนเดิม อาจนำไปสู่ความรู้สึกไม่พอใจในตนเอง หรือแม้กระทั่งภาวะซึมเศร้าได้ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ที่จะยอมรับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย การปรับความคาดหวังที่มีต่อตนเองให้สอดคล้องกับสภาพร่างกายในปัจจุบัน การค้นหากิจกรรมใหม่ ๆ ที่เหมาะสมกับข้อจำกัดทางกายภาพ และการขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น เป็นสิ่งที่จะช่วยให้เราสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีสุขภาพจิตที่ดี แม้ร่างกายจะเปลี่ยนแปลงไป

สัญญาณเตือนและวิธีการสังเกตสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้าง

คำถามสำคัญที่หลายคนมักถามคือ "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราโอเคหรือไม่โอเค?" สุขยีรันให้แนวทางในการสังเกตตนเองและคนรอบข้างอย่างเป็นระบบ โดยเน้นย้ำว่า กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับบทบาทจากการ "ตั้งรับ" คือรอให้ผู้ป่วยมาหา เป็น "เชิงรุก" มากขึ้น โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความเข้าใจ ความรอบรู้ และความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถสังเกตตนเองและคนใกล้ชิดได้ว่า "โอเคหรือไม่โอเค"

คำว่า "โอเคหรือไม่โอเค" หมายถึงอะไร? ดร.ภัทรวรรธน์ สุขยิรัญ อธิบายว่า "ความสุขสบายของเรา ความรู้สึกสุขสบาย อยู่ดีกินดีของเรา มันเปลี่ยนไปจากเดิมไหม" นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติไปจากภาวะปกติของตนเอง

สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต:

  • การกินและการนอนที่เปลี่ยนไป: จากที่เคยกินได้ปกติ นอนหลับสบาย กลับกลายเป็นกินได้น้อยลงหรือมากขึ้นผิดปกติ นอนไม่หลับ หลับ ๆ ตื่น ๆ หรือนอนมากเกินไปแต่ยังรู้สึกเพลีย นี่คือสัญญาณแรก ๆ ที่มักบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงทางสุขภาพจิต เนื่องจากระบบการกินและการนอนถูกควบคุมโดยสมองส่วนเดียวกับที่ควบคุมอารมณ์และระดับความเครียด
  • อารมณ์ที่เปลี่ยนไปจากเดิม: จากที่เคยเป็นคนสดใส ร่าเริง หรือชิล ๆ กลายเป็นคนหงุดหงิดง่ายกว่าเดิม รู้สึกอึดอัด กระวนกระวาย สะเทือนใจง่าย หรือมีอารมณ์ครึ้ม ๆ หม่น ๆ เหมือนสภาพอากาศ ไม่สดใสเหมือนเคย การที่อารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ ผิดปกติ หรือมีอารมณ์ด้านลบอยู่เป็นเวลานาน ควรได้รับการใส่ใจ
  • ความเบื่อหน่ายและการแยกตัว: จากที่เคยชอบเข้าสังคม ชอบทำกิจกรรมต่าง ๆ กลับกลายเป็นรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่อยากไปไหน ไม่อยากคุยกับใคร หรือรู้สึกว่าสมรรถภาพในการใช้ชีวิตประจำวันลดลง ไม่อยากทำอะไรเลย การแยกตัวออกจากสังคม หรือการไม่สนใจในสิ่งที่เคยชอบ เป็นสัญญาณสำคัญที่บ่งบอกถึงภาวะซึมเศร้าหรือปัญหาทางสุขภาพจิตอื่น ๆ
  • การสังเกตอารมณ์ในแต่ละวัน (Scanning Emotion): หากเราฝึกสังเกตอารมณ์ของตนเองในแต่ละวันได้บ่อย ๆ จะช่วยให้เรารู้ทันอารมณ์และความรู้สึกของตนเองได้ดีขึ้น หากพบว่าอารมณ์ส่วนใหญ่ในแต่ละวันเป็นโทนหม่น ๆ หรือเป็นลบมากกว่าปกติ ก็เป็นสิ่งที่เราควรหยุดพิจารณาและทบทวน

การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง: นอกจากนี้ สุขยีรัน ชี้ให้เห็นว่า การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนในครอบครัว หรือคนรอบข้าง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม บ่อยครั้งที่คนใกล้ชิดจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเราก่อน เช่น "ช่วงนี้ดูหงุดหงิดมากขึ้นนะ" หรือ "ดูซึม ๆ ไปนะ" การเปิดใจรับฟังคำพูดเหล่านี้โดยไม่ตัดสิน และพิจารณาว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงไปจริงหรือไม่ จะช่วยให้เราสามารถรับรู้และแก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

ทลายกำแพงความเข้าใจผิด: เมื่อการขอความช่วยเหลือไม่ใช่ความอ่อนแอ

ในอดีต การพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต การไปพบจิตแพทย์ หรือการเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลจิตเวช เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา มักถูกมองด้วยสายตาที่แปลกแยก และมีอคติในสังคม สุขยีรัน ยอมรับว่าเมื่อก่อนคนมักจะอาย ไม่กล้ามาโรงพยาบาลจิตเวช เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็น "คนบ้า" หรือมีแม้กระทั่งความกลัวว่าการมีประวัติการรักษาทางจิตเวชจะส่งผลกระทบต่อชีวิต

นอกจากความอายและความกลัวแล้ว อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกคือ การเชื่อว่าการมีปัญหาสุขภาพจิตหรือการป่วยเป็นโรคทางจิตเวชนั้น หมายความว่าเราเป็นคน "ไม่เข้มแข็ง" หรือ "อ่อนแอ" ซึ่งสุขยีรันเน้นย้ำว่า "ตอนนี้เราต้องมาปรับความเข้าใจกันใหม่" สาเหตุของการมีปัญหาสุขภาพจิตนั้นไม่ได้มาจากความอ่อนแอเพียงอย่างเดียว แต่มาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ทั้งด้านร่างกาย เช่น ฮอร์โมน สารสื่อประสาทในสมองที่เปลี่ยนแปลงไป หรือแม้แต่ภาวะทางพันธุกรรม ด้านจิตใจ เช่น รูปแบบการคิด การเผชิญปัญหา และด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาครอบครัว หรือวิกฤตการณ์ต่าง ๆ การที่บุคคลหนึ่งเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้แปลว่าเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเขา

การขอความช่วยเหลือคือความเข้มแข็ง: การตระหนักว่าตนเองมีปัญหาและกล้าที่จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างหากที่แสดงถึงความเข้มแข็งและความเข้าใจในตนเอง การที่คนเรายอมรับว่ามีปัญหาและขอความช่วยเหลือ คือก้าวแรกที่สำคัญของการฟื้นฟู สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกายที่สามารถเจ็บป่วยและต้องการการรักษาได้ และเช่นเดียวกับโรคทางกาย โรคทางจิตเวชหลายโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข

สุขยีรัน ย้ำถึงหลักการสำคัญที่ว่า "การป้องกันสำคัญกว่าการรักษา" การทำงานเชิงรุกของกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้และป้องกันปัญหา ก่อนที่จะบานปลายจนต้องเข้ารับการรักษาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น

นโยบายเชิงรุกและทางออกเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับกลยุทธ์การทำงานจากเชิงรับมาเป็นเชิงรุกมากขึ้น โดยมีนโยบายและโครงการที่มุ่งเน้นการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตของประชาชนอย่างทั่วถึงและสะดวกสบายยิ่งขึ้น

  • รถเพื่อนใจ (Mobile Unit): บริการเชิงรุกเคลื่อนที่สู่ชุมชน หนึ่งในโครงการสำคัญคือ "รถเพื่อนใจ" ซึ่งเป็นรถโมบายที่ถูกออกแบบมาเพื่อลงพื้นที่ตามหน่วยงานต่าง ๆ หรือในพื้นที่ที่ประชาชนเข้าถึงการรักษาทางสุขภาพจิตได้ยาก รถเพื่อนใจจะบรรทุกอุปกรณ์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตลงไปให้บริการในชุมชนโดยตรง ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงคำปรึกษา การตรวจคัดกรอง และบริการสุขภาพจิตเบื้องต้นได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินทางมายังโรงพยาบาล การมีบริการเชิงรุกเช่นนี้ช่วยลดอุปสรรคด้านการเดินทางและค่าใช้จ่าย รวมถึงลดความรู้สึกอายหรือกลัวการไปโรงพยาบาลจิตเวช ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการทำให้บริการสุขภาพจิตเข้าถึงได้ง่ายขึ้นสำหรับทุกคน
  • การรักษาทางไกล (Telemedicine/Teleconsultation): ลดข้อจำกัดด้านสถานที่และเวลา เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพจิตในยุคปัจจุบัน โรงพยาบาลศรีธัญญาได้นำระบบการรักษาทางไกล หรือ Telemedicine มาใช้ โดยมีคุณหมอและนักจิตวิทยาคอยให้การปรึกษาและรักษาผ่านระบบวิดีโอคอล ทำให้ผู้ป่วยสามารถพูดคุยและรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญได้จากที่บ้านหรือสถานที่ที่ตนเองสะดวก ระบบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยลดข้อจำกัดด้านระยะทางและเวลาในการเดินทาง แต่ยังช่วยเพิ่มความเป็นส่วนตัวและความสบายใจให้กับผู้รับบริการอีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์ที่การเดินทางถูกจำกัด การรักษาทางไกลกลายเป็นทางเลือกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัย

นโยบายเชิงรุกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาในการยกระดับการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ การเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย และการส่งเสริมการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่ต้น

สร้างภูมิคุ้มกันทางใจ: เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อสุขภาพจิตที่ดีขึ้น

นอกจากการทำงานเชิงรุกของภาครัฐแล้ว การดูแลสุขภาพจิตของตนเองในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตแนะนำแนวทางปฏิบัติต่างๆ ที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางใจและรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

  • ฝึกการตระหนักรู้และเฝ้าระวังตนเอง (Self-Awareness and Mindfulness): การเข้าใจและรับรู้ถึงอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกของตนเองในแต่ละขณะ คือก้าวแรกของการดูแลสุขภาพจิต ลองใช้เวลาสักครู่ในแต่ละวัน เพื่อสังเกตว่าเรากำลังรู้สึกอย่างไร ทำไมถึงรู้สึกแบบนั้น การฝึกสติหรือการทำสมาธิแบบง่าย ๆ เพียง 5-10 นาทีต่อวัน ก็สามารถช่วยให้เราอยู่กับปัจจุบัน ลดความฟุ้งซ่าน และเพิ่มความสามารถในการจัดการอารมณ์ได้ การจดบันทึกประจำวัน (Journaling) ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้เราได้ทบทวนและทำความเข้าใจความคิดและอารมณ์ของตนเอง
  • จัดการความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม: ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่การจัดการกับมันอย่างเหมาะสมจะช่วยป้องกันไม่ให้บานปลายจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิต ลองหาวิธีผ่อนคลายที่เหมาะกับตนเอง เช่น การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การฟังเพลง การอ่านหนังสือ การดูหนัง การทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบ หรือการฝึกหายใจลึก ๆ ช้า ๆ เพื่อช่วยลดความตึงเครียด การกำหนดขอบเขตระหว่างชีวิตส่วนตัวกับการทำงาน (Work-Life Balance) ก็สำคัญเช่นกัน เพื่อป้องกันภาวะหมดไฟ
  • รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น (Social Connection): มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการมีเครือข่ายสังคมที่แข็งแรง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิต การใช้เวลากับครอบครัว เพื่อนฝูง หรือการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มที่มีความสนใจร่วมกัน ช่วยลดความรู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา รวมถึงเป็นแหล่งพลังใจและกำลังใจที่ดีเมื่อเราเผชิญกับปัญหา
  • ดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง: อย่างที่สุขยีรันเน้นย้ำ สุขภาพกายและสุขภาพจิตนั้นแยกกันไม่ออก การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การนอนหลับให้เพียงพอ และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งส่งผลดีต่อสุขภาพจิตโดยตรง
  • กำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงและมีความหมาย: การมีเป้าหมายในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายระยะสั้นหรือระยะยาว ช่วยให้เรามีแรงผลักดันและมีทิศทางในการใช้ชีวิต เป้าหมายเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่ แต่ควรเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้จริงและมีความหมายต่อตัวเรา เพื่อสร้างความรู้สึกประสบความสำเร็จและความภาคภูมิใจในตนเอง
  • เรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่น: การยึดติดกับความผิดพลาดในอดีต หรือการแบกรับความรู้สึกผิดไว้มากเกินไป สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตได้ การเรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองเมื่อทำผิดพลาด และให้อภัยผู้อื่นเมื่อถูกกระทำ จะช่วยให้เราสามารถก้าวผ่านอดีตและใช้ชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้อย่างมีความสุขและเบาสบายใจมากขึ้น
  • รู้จักขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น: หากรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับปัญหาได้ด้วยตนเอง หรือสังเกตเห็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพจิตอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรรอช้าที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เช่น จิตแพทย์ นักจิตวิทยา หรือสายด่วนสุขภาพจิต การไปพบผู้เชี่ยวชาญไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นเรื่องที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อสุขภาพของตนเอง และเป็นก้าวแรกสู่การฟื้นฟูและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

บทสรุป: สุขภาพจิตเรื่องของเรา เรื่องของทุกคน

ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย การดูแลสุขภาพจิตจึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบัน เข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแต่ละช่วงวัย รวมถึงการเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณเตือนของตนเองและคนรอบข้าง ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ

สุขยีรัน นักจิตวิทยาคลินิก ชำนาญการพิเศษ จากโรงพยาบาลศรีธัญญา ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายหรือแสดงถึงความอ่อนแอ การที่กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับแนวทางมาสู่การทำงานเชิงรุก ทั้งการใช้รถเพื่อนใจและระบบ Telemedicine ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับประชาชนทุกคน

ท้ายที่สุดแล้ว การสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับ และเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิต จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้คนไทยสามารถรับมือกับความเครียดและความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างเข้มแข็ง และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน สุขภาพจิตที่ดี คือชีวิตที่ดี ขอให้ทุกคนตระหนักและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ เพื่อก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้อย่างมั่นคงและมีพลังใจ

คำถามที่พบบ่อย

เพื่อให้เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่อ้างอิงจากข้อมูลในบทความนี้:

Q1: สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง? A1: จากการสำรวจข้อมูลของกรมสุขภาพจิตตั้งแต่ปี 2566 พบว่าคนไทยมีแนวโน้มเผชิญกับความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตที่มากขึ้น และจากปัจจัยรุมเร้าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่น โควิด-19 และความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต

Q2: ใครคือ สุขยีรัน และเกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้อย่างไร? A2: สุขยีรัน เป็นนักจิตวิทยาคลินิก ชำนาญการพิเศษ และหัวหน้ากลุ่มงานจิตวิทยา โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลและมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในรายการ "คนสู้โลก"

Q3: ความเครียดส่งผลกระทบต่อช่วงวัยใดบ้าง? A3: ความเครียดส่งผลกระทบต่อทุกช่วงวัย ได้แก่ วัยเด็กและวัยรุ่น (จากโซเชียลมีเดียและความกดดันรอบด้าน), วัยผู้ใหญ่และวัยทำงาน (จากแรงกดดันด้านชีวิตและการงาน) ซึ่งประมาณร้อยละ 30 ของวัยทำงานมีความเครียดสูง, และวัยสูงอายุ (จากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย บทบาททางสังคม และการสูญเสีย)

Q4: สุขภาพกายส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างไรบ้าง? A4: สุขภาพกายมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตอย่างใกล้ชิด ปัญหาทางกาย เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม หรือความรู้สึกไม่พอใจในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่ออารมณ์ ความคิด และคุณภาพชีวิตทางจิตใจได้

Q5: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองหรือคนรอบข้างกำลังมีปัญหาสุขภาพจิต? A5: สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือน เช่น การกินและการนอนที่เปลี่ยนไปจากเดิม, อารมณ์ที่หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือสะเทือนใจง่ายกว่าปกติ, ความเบื่อหน่ายหรือการแยกตัวจากสังคม นอกจากนี้ การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนใกล้ชิดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง

Q6: การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องน่าอายไหม? A6: ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย ในอดีตอาจมีความเข้าใจผิดหรืออคติ แต่ในปัจจุบัน การไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองและเป็นก้าวแรกสู่การฟื้นฟู เพราะปัญหาสุขภาพจิตก็เหมือนกับโรคทางกายที่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้

Q7: กรมสุขภาพจิตมีนโยบายเชิงรุกในการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนอย่างไรบ้าง? A7: กรมสุขภาพจิตได้ปรับบทบาทจากการตั้งรับมาเป็นเชิงรุก โดยมีการเพิ่มความเข้าใจและความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต และมีโครงการที่เข้าถึงประชาชนมากขึ้น เช่น "รถเพื่อนใจ" ซึ่งเป็นรถโมบายให้บริการสุขภาพจิตในพื้นที่ต่างๆ และการใช้ระบบ Telemedicine (การรักษาทางไกลผ่านวิดีโอคอล)

Q8: "รถเพื่อนใจ" คืออะไรและให้บริการอะไรบ้าง? A8: "รถเพื่อนใจ" คือรถโมบายของกรมสุขภาพจิตที่ลงพื้นที่ตามชุมชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้คำปรึกษา ตรวจคัดกรอง และดูแลสุขภาพจิตเบื้องต้นแก่ประชาชน โดยมีอุปกรณ์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญอยู่บนรถ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวกขึ้น

Q9: Telemedicine หรือการรักษาทางไกลทางด้านสุขภาพจิตมีประโยชน์อย่างไร? A9: Telemedicine ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับคำปรึกษาและรักษาจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาผ่านระบบวิดีโอคอลได้จากที่บ้านหรือสถานที่ที่สะดวก ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดด้านระยะทาง เวลา และเพิ่มความเป็นส่วนตัว ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น

Q10: เราสามารถดูแลสุขภาพจิตของตนเองในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง? A10: สามารถทำได้โดยการฝึกตระหนักรู้และเฝ้าระวังตนเอง (Mindfulness), จัดการความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม (เช่น ออกกำลังกาย, ทำงานอดิเรก), รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น, ดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง (กิน, นอน, ออกกำลังกาย), กำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงและมีความหมาย, เรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น

ชมย้อนหลังรายการคนสู้โรคได้ที่ www.thaipbs.or.th/KonSuRoak

รู้สู้โรค

1 - 30
31 - 60
61 - 90
91 - 120
121 - 150
151 - 180
181 - 210
211 - 240
241 - 270
271 - 300
301 - 330
331 - 360
361 - 390
391 - 420
421 - 450
451 - 480
481 - 510
511 - 540
541 - 570
571 - 600
601 - 630
631 - 660
661 - 690
691 - 720
721 - 750
751 - 780
781 - 810
811 - 840
841 - 870
871 - 900
901 - 930
931 - ล่าสุด
  • รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด

    รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด

    17 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน

    รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน

    21 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ

    รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ

    22 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส

    รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส

    28 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว

    รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว

    6 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง

    รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง

    8 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

    รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

    13 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

    รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

    13 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ

    รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ

    21 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่

    รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่

    26 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์

    รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์

    29 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู

    รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู

    3 ม.ค. 68
  • ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค

    ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค

    8 ก.พ. 68
  • กำลังเล่น...
    สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค

    สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค

    14 ก.พ. 68
  • แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค

    แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค

    20 ก.พ. 68
  • รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน

    รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน

    1 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน

    รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน

    6 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย

    รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย

    13 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก

    รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก

    20 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ

    รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ

    21 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า

    รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า

    28 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก

    รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก

    31 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด

    รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด

    3 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน

    รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน

    10 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก

    รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก

    18 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ

    รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ

    2 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด

    รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด

    2 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม

    รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม

    8 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น

    รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น

    16 พ.ค. 68

รู้สู้โรค

1 - 30
31 - 60
61 - 90
91 - 120
121 - 150
151 - 180
181 - 210
211 - 240
241 - 270
271 - 300
301 - 330
331 - 360
361 - 390
391 - 420
421 - 450
451 - 480
481 - 510
511 - 540
541 - 570
571 - 600
601 - 630
631 - 660
661 - 690
691 - 720
721 - 750
751 - 780
781 - 810
811 - 840
841 - 870
871 - 900
901 - 930
931 - ล่าสุด
  • รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด

    รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด

    17 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน

    รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน

    21 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ

    รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ

    22 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส

    รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส

    28 พ.ย. 67
  • รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว

    รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว

    6 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง

    รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง

    8 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

    รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง

    13 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

    รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม

    13 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ

    รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ

    21 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่

    รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่

    26 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์

    รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์

    29 ธ.ค. 67
  • รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู

    รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู

    3 ม.ค. 68
  • ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค

    ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค

    8 ก.พ. 68
  • กำลังเล่น...
    สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค

    สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค

    14 ก.พ. 68
  • แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค

    แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค

    20 ก.พ. 68
  • รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน

    รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน

    1 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน

    รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน

    6 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย

    รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย

    13 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก

    รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก

    20 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ

    รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ

    21 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า

    รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า

    28 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก

    รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก

    31 มี.ค. 68
  • รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด

    รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด

    3 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน

    รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน

    10 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก

    รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก

    18 เม.ย. 68
  • รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ

    รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ

    2 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด

    รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด

    2 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม

    รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม

    8 พ.ค. 68
  • รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น

    รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น

    16 พ.ค. 68

ละครดี ซีรีส์เด่น

ดูทั้งหมด

♫ ♫ Songs Popular ♫ ♫

ดูทั้งหมด

คลิปมาใหม่

คนดูเยอะ 👀

ดูทั้งหมด

เสน่ห์ประเทศไทย