ในโลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อม โรคระบาด หรือแม้แต่ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยี“สุขภาพจิต” ได้กลายเป็นประเด็นที่สำคัญและถูกพูดถึงมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หลายคนอาจเคยคิดว่าปัญหาสุขภาพจิตเป็นเรื่องไกลตัว หรือเป็นเฉพาะกับผู้ที่มีความผิดปกติทางจิตเท่านั้น แต่แท้จริงแล้ว สุขภาพจิตที่ดีคือรากฐานสำคัญของการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพ และปัญหาด้านสุขภาพจิตก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย ไม่เว้นแม้แต่วัยเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
รายการ "คนสู้โรค" ได้มีโอกาสพูดคุยกับ ดร.ภัทรวรรธน์ สุขยิรัญ นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการพิเศษ หัวหน้ากลุ่มงานจิตวิทยา โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ผู้ซึ่งได้ให้ข้อมูลเชิงลึกและมุมมองที่น่าสนใจเกี่ยวกับสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบัน วิธีการสังเกตตนเองและคนรอบข้าง ตลอดจนนโยบายเชิงรุกจากภาครัฐในการดูแลสุขภาพจิตของประชาชน บทความนี้จะพาคุณผู้อ่านไปสำรวจสถานการณ์ดังกล่าวอย่างละเอียด เพื่อทำความเข้าใจและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายทางสุขภาพจิตในยุคปัจจุบัน
จากการสำรวจข้อมูลของกรมสุขภาพจิตตั้งแต่ปี 2566 เป็นต้นมา พบว่าคนไทยมีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความเครียดเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สุขยีรัน ชี้ให้เห็นว่าปรากฏการณ์นี้อาจมองได้สองมุม มุมหนึ่งคือการที่ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพจิตมากขึ้น และตระหนักว่าตนเองสามารถเข้ารับบริการทางสุขภาพจิตได้ ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการเปิดกว้างและการยอมรับในสังคม แต่อีกมุมหนึ่งคือความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมไทยและสังคมโลกได้เผชิญกับปัจจัยรุมเร้ามากมาย ทั้งวิกฤตการณ์ทางสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่น PM 2.5, โรคระบาดอย่างโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตและเศรษฐกิจอย่างรุนแรง, รวมถึงความเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเทคโนโลยีที่ทำให้คนต้องปรับตัวอย่างมหาศาล ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดความเครียดในทุกช่วงวัย
ผลกระทบต่อแต่ละช่วงวัย:
สุขยีรัน ย้ำถึงความเชื่อมโยงที่แยกกันไม่ออกระหว่างสุขภาพกายและสุขภาพจิต ปัญหาสุขภาพทางกายที่เกิดขึ้นตามวัยหรือจากสาเหตุอื่น ๆ สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่อสภาพจิตใจของเราได้หลายประการ
คำถามสำคัญที่หลายคนมักถามคือ "เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราโอเคหรือไม่โอเค?" สุขยีรันให้แนวทางในการสังเกตตนเองและคนรอบข้างอย่างเป็นระบบ โดยเน้นย้ำว่า กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับบทบาทจากการ "ตั้งรับ" คือรอให้ผู้ป่วยมาหา เป็น "เชิงรุก" มากขึ้น โดยมุ่งเน้นการเพิ่มความเข้าใจ ความรอบรู้ และความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตให้กับประชาชน เพื่อให้ทุกคนสามารถสังเกตตนเองและคนใกล้ชิดได้ว่า "โอเคหรือไม่โอเค"
คำว่า "โอเคหรือไม่โอเค" หมายถึงอะไร? ดร.ภัทรวรรธน์ สุขยิรัญ อธิบายว่า "ความสุขสบายของเรา ความรู้สึกสุขสบาย อยู่ดีกินดีของเรา มันเปลี่ยนไปจากเดิมไหม" นั่นคือ การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติไปจากภาวะปกติของตนเอง
สัญญาณเตือนที่ควรสังเกต:
การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนรอบข้าง: นอกจากนี้ สุขยีรัน ชี้ให้เห็นว่า การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนในครอบครัว หรือคนรอบข้าง ก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม บ่อยครั้งที่คนใกล้ชิดจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงในตัวเราก่อน เช่น "ช่วงนี้ดูหงุดหงิดมากขึ้นนะ" หรือ "ดูซึม ๆ ไปนะ" การเปิดใจรับฟังคำพูดเหล่านี้โดยไม่ตัดสิน และพิจารณาว่าเรามีการเปลี่ยนแปลงไปจริงหรือไม่ จะช่วยให้เราสามารถรับรู้และแก้ไขปัญหาได้ตั้งแต่เนิ่น ๆ
ในอดีต การพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต การไปพบจิตแพทย์ หรือการเข้ารับบริการที่โรงพยาบาลจิตเวช เช่น โรงพยาบาลศรีธัญญา มักถูกมองด้วยสายตาที่แปลกแยก และมีอคติในสังคม สุขยีรัน ยอมรับว่าเมื่อก่อนคนมักจะอาย ไม่กล้ามาโรงพยาบาลจิตเวช เพราะกลัวจะถูกมองว่าเป็น "คนบ้า" หรือมีแม้กระทั่งความกลัวว่าการมีประวัติการรักษาทางจิตเวชจะส่งผลกระทบต่อชีวิต
นอกจากความอายและความกลัวแล้ว อีกหนึ่งความเข้าใจผิดที่ฝังรากลึกคือ การเชื่อว่าการมีปัญหาสุขภาพจิตหรือการป่วยเป็นโรคทางจิตเวชนั้น หมายความว่าเราเป็นคน "ไม่เข้มแข็ง" หรือ "อ่อนแอ" ซึ่งสุขยีรันเน้นย้ำว่า "ตอนนี้เราต้องมาปรับความเข้าใจกันใหม่" สาเหตุของการมีปัญหาสุขภาพจิตนั้นไม่ได้มาจากความอ่อนแอเพียงอย่างเดียว แต่มาจากหลายปัจจัยที่ซับซ้อน ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ทั้งด้านร่างกาย เช่น ฮอร์โมน สารสื่อประสาทในสมองที่เปลี่ยนแปลงไป หรือแม้แต่ภาวะทางพันธุกรรม ด้านจิตใจ เช่น รูปแบบการคิด การเผชิญปัญหา และด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม เช่น ความเครียดจากการทำงาน ปัญหาครอบครัว หรือวิกฤตการณ์ต่าง ๆ การที่บุคคลหนึ่งเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ ไม่ได้แปลว่าเขาอ่อนแอ แต่เป็นเพราะปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้รวมกันส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของเขา
การขอความช่วยเหลือคือความเข้มแข็ง: การตระหนักว่าตนเองมีปัญหาและกล้าที่จะแสวงหาความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญต่างหากที่แสดงถึงความเข้มแข็งและความเข้าใจในตนเอง การที่คนเรายอมรับว่ามีปัญหาและขอความช่วยเหลือ คือก้าวแรกที่สำคัญของการฟื้นฟู สุขภาพจิตก็ไม่ต่างจากสุขภาพกายที่สามารถเจ็บป่วยและต้องการการรักษาได้ และเช่นเดียวกับโรคทางกาย โรคทางจิตเวชหลายโรคสามารถรักษาให้หายขาดได้ หรืออย่างน้อยก็สามารถควบคุมอาการและใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข
สุขยีรัน ย้ำถึงหลักการสำคัญที่ว่า "การป้องกันสำคัญกว่าการรักษา" การทำงานเชิงรุกของกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความตระหนักรู้และป้องกันปัญหา ก่อนที่จะบานปลายจนต้องเข้ารับการรักษาที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น
เพื่อตอบสนองต่อสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยที่เปลี่ยนแปลงไป กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับกลยุทธ์การทำงานจากเชิงรับมาเป็นเชิงรุกมากขึ้น โดยมีนโยบายและโครงการที่มุ่งเน้นการเข้าถึงบริการสุขภาพจิตของประชาชนอย่างทั่วถึงและสะดวกสบายยิ่งขึ้น
นโยบายเชิงรุกเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของกรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาในการยกระดับการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนอย่างแท้จริง โดยเน้นการสร้างความตระหนักรู้ การเข้าถึงบริการที่สะดวกสบาย และการส่งเสริมการป้องกันปัญหาสุขภาพจิตตั้งแต่ต้น
นอกจากการทำงานเชิงรุกของภาครัฐแล้ว การดูแลสุขภาพจิตของตนเองในชีวิตประจำวันก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตแนะนำแนวทางปฏิบัติต่างๆ ที่จะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันทางใจและรับมือกับความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ:
ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วและเต็มไปด้วยความท้าทาย การดูแลสุขภาพจิตจึงไม่ใช่เพียงแค่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการใช้ชีวิตอย่างมีคุณภาพ การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบัน เข้าใจถึงปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อแต่ละช่วงวัย รวมถึงการเรียนรู้ที่จะสังเกตสัญญาณเตือนของตนเองและคนรอบข้าง ล้วนเป็นสิ่งสำคัญ
สุขยีรัน นักจิตวิทยาคลินิก ชำนาญการพิเศษ จากโรงพยาบาลศรีธัญญา ได้เน้นย้ำให้เห็นว่า สุขภาพจิตเป็นเรื่องที่ทุกคนควรใส่ใจ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายหรือแสดงถึงความอ่อนแอ การที่กรมสุขภาพจิตและโรงพยาบาลศรีธัญญาได้ปรับแนวทางมาสู่การทำงานเชิงรุก ทั้งการใช้รถเพื่อนใจและระบบ Telemedicine ก็เป็นสัญญาณที่ดีที่ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเป็นเรื่องง่ายขึ้นสำหรับประชาชนทุกคน
ท้ายที่สุดแล้ว การสร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับ และเข้าใจในเรื่องสุขภาพจิต จะเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้คนไทยสามารถรับมือกับความเครียดและความท้าทายต่าง ๆ ได้อย่างเข้มแข็ง และใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและมีประสิทธิภาพอย่างยั่งยืน สุขภาพจิตที่ดี คือชีวิตที่ดี ขอให้ทุกคนตระหนักและให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของตนเองและคนรอบข้างอยู่เสมอ เพื่อก้าวผ่านทุกอุปสรรคไปได้อย่างมั่นคงและมีพลังใจ
เพื่อให้เข้าใจเรื่องสุขภาพจิตได้ง่ายขึ้น เราได้รวบรวมคำถามที่พบบ่อยพร้อมคำตอบที่อ้างอิงจากข้อมูลในบทความนี้:
Q1: สถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง? A1: จากการสำรวจข้อมูลของกรมสุขภาพจิตตั้งแต่ปี 2566 พบว่าคนไทยมีแนวโน้มเผชิญกับความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิตที่มากขึ้น และจากปัจจัยรุมเร้าทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น ปัญหาฝุ่น โควิด-19 และความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิต
Q2: ใครคือ สุขยีรัน และเกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้อย่างไร? A2: สุขยีรัน เป็นนักจิตวิทยาคลินิก ชำนาญการพิเศษ และหัวหน้ากลุ่มงานจิตวิทยา โรงพยาบาลศรีธัญญา กรมสุขภาพจิต ซึ่งเป็นผู้ให้ข้อมูลและมุมมองเชิงลึกเกี่ยวกับสถานการณ์สุขภาพจิตของคนไทยในรายการ "คนสู้โลก"
Q3: ความเครียดส่งผลกระทบต่อช่วงวัยใดบ้าง? A3: ความเครียดส่งผลกระทบต่อทุกช่วงวัย ได้แก่ วัยเด็กและวัยรุ่น (จากโซเชียลมีเดียและความกดดันรอบด้าน), วัยผู้ใหญ่และวัยทำงาน (จากแรงกดดันด้านชีวิตและการงาน) ซึ่งประมาณร้อยละ 30 ของวัยทำงานมีความเครียดสูง, และวัยสูงอายุ (จากความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย บทบาททางสังคม และการสูญเสีย)
Q4: สุขภาพกายส่งผลต่อสุขภาพจิตอย่างไรบ้าง? A4: สุขภาพกายมีความเชื่อมโยงกับสุขภาพจิตอย่างใกล้ชิด ปัญหาทางกาย เช่น การนอนหลับไม่เพียงพอ พฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม หรือความรู้สึกไม่พอใจในร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย สามารถส่งผลกระทบโดยตรงต่ออารมณ์ ความคิด และคุณภาพชีวิตทางจิตใจได้
Q5: เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองหรือคนรอบข้างกำลังมีปัญหาสุขภาพจิต? A5: สามารถสังเกตได้จากสัญญาณเตือน เช่น การกินและการนอนที่เปลี่ยนไปจากเดิม, อารมณ์ที่หงุดหงิดง่าย ซึมเศร้า หรือสะเทือนใจง่ายกว่าปกติ, ความเบื่อหน่ายหรือการแยกตัวจากสังคม นอกจากนี้ การรับฟังเสียงสะท้อนจากคนใกล้ชิดก็เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลง
Q6: การไปพบจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาเป็นเรื่องน่าอายไหม? A6: ไม่ใช่เรื่องน่าอายเลย ในอดีตอาจมีความเข้าใจผิดหรืออคติ แต่ในปัจจุบัน การไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิตเป็นสิ่งที่แสดงถึงความรับผิดชอบต่อตนเองและเป็นก้าวแรกสู่การฟื้นฟู เพราะปัญหาสุขภาพจิตก็เหมือนกับโรคทางกายที่สามารถรักษาให้ดีขึ้นได้
Q7: กรมสุขภาพจิตมีนโยบายเชิงรุกในการดูแลสุขภาพจิตของประชาชนอย่างไรบ้าง? A7: กรมสุขภาพจิตได้ปรับบทบาทจากการตั้งรับมาเป็นเชิงรุก โดยมีการเพิ่มความเข้าใจและความตระหนักรู้เรื่องสุขภาพจิต และมีโครงการที่เข้าถึงประชาชนมากขึ้น เช่น "รถเพื่อนใจ" ซึ่งเป็นรถโมบายให้บริการสุขภาพจิตในพื้นที่ต่างๆ และการใช้ระบบ Telemedicine (การรักษาทางไกลผ่านวิดีโอคอล)
Q8: "รถเพื่อนใจ" คืออะไรและให้บริการอะไรบ้าง? A8: "รถเพื่อนใจ" คือรถโมบายของกรมสุขภาพจิตที่ลงพื้นที่ตามชุมชนหรือหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้คำปรึกษา ตรวจคัดกรอง และดูแลสุขภาพจิตเบื้องต้นแก่ประชาชน โดยมีอุปกรณ์และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญอยู่บนรถ เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการได้สะดวกขึ้น
Q9: Telemedicine หรือการรักษาทางไกลทางด้านสุขภาพจิตมีประโยชน์อย่างไร? A9: Telemedicine ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถรับคำปรึกษาและรักษาจากจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยาผ่านระบบวิดีโอคอลได้จากที่บ้านหรือสถานที่ที่สะดวก ซึ่งช่วยลดข้อจำกัดด้านระยะทาง เวลา และเพิ่มความเป็นส่วนตัว ทำให้การเข้าถึงบริการสุขภาพจิตเป็นเรื่องง่ายขึ้น
Q10: เราสามารถดูแลสุขภาพจิตของตนเองในชีวิตประจำวันได้อย่างไรบ้าง? A10: สามารถทำได้โดยการฝึกตระหนักรู้และเฝ้าระวังตนเอง (Mindfulness), จัดการความเครียดด้วยวิธีที่เหมาะสม (เช่น ออกกำลังกาย, ทำงานอดิเรก), รักษาสัมพันธภาพที่ดีกับผู้อื่น, ดูแลสุขภาพกายให้แข็งแรง (กิน, นอน, ออกกำลังกาย), กำหนดเป้าหมายที่เป็นจริงและมีความหมาย, เรียนรู้ที่จะให้อภัยตนเองและผู้อื่น และรู้จักขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเมื่อจำเป็น
ชมย้อนหลังรายการคนสู้โรคได้ที่ www.thaipbs.or.th/KonSuRoak
รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด
รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน
รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ
รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส
รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว
รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง
รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม
รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ
รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่
รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์
รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู
ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค
สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค
แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน
รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน
รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย
รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก
รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ
รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า
รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก
รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด
รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน
รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก
รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ
รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด
รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม
รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น
รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : สมุนไพรที่ช่วยบำรุงปอด
รู้สู้โรค : ปวดเข่า ในวัยทำงาน
รู้สู้โรค : ข้อเข่าเสื่อมกับงานด้านกายภาพ
รู้สู้โรค : สูงวัยสุขภาพดี เดินดี ไม่ลืม ไม่ล้ม อารมณ์แจ่มใส
รู้สู้โรค : วิธีดูแลจมูกสำหรับคนเป็นไซนัสอับเสบเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว
รู้สู้โรค : โภชนาน่ารู้ในโรคถุงลมโป่งพอง
รู้สู้โรค : การฟื้นฟูผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง
รู้สู้โรค : หูอื้อ เสียงในหู อาการแบบไหนที่ไม่ควรมองข้าม
รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการรักษาโรคหู คอ จมูก ด้วยคลื่นวิทยุ
รู้สู้โรค : นิ่วทอนซิลคืออะไร อันตรายหรือไม่
รู้สู้โรค : รู้จักคลื่นอัลตราซาวนด์
รู้สู้โรค : เทคโนโลยีการผ่าตัดข้อเข่าเทียม และการฟื้นฟู
ฝุ่น PM2.5 ผลกระทบต่อสุขภาพในระยะสั้น และระยะยาว : รู้สู้โรค
สุขภาพใจรอไม่ได้ : รู้สู้โรค
แค่เศร้า หรือเหงาเกินไป : รู้สู้โรค
รู้สู้โรค : Check PD แอปพลิเคชันคัดกรองโรคพาร์กินสัน
รู้สู้โรค : มาตรฐานร้านขายยากับความปลอดภัยของประชาชน
รู้สู้โรค : โรคทางจิตที่ทำให้เกิดอาการทางกาย
รู้สู้โรค : บริการปฐมภูมิ สู่ยุคของการดูแลผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เชิงรุก
รู้สู้โรค : กิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาวะผู้สูงอายุ
รู้สู้โรค : เสริมสร้าง Self-Respect เกราะป้องกันการถูกด้อยค่า
รู้สู้โรค : ภาวะเท้าแบนในเด็ก
รู้สู้โรค : นวัตกรรม PAE ทางเลือกใหม่ในการรักษาต่อมลูกหมากโตทางเส้นเลือด
รู้สู้โรค : ดูแลอย่างไรไม่ให้ผิวไหม้แดดในช่วงหน้าร้อน
รู้สู้โรค : คลอดธรรมชาติกับสุขภาพระยะยาวของแม่และลูก
รู้สู้โรค : อารมณ์แจ่มใส ใครว่าไม่สำคัญ
รู้สู้โรค : ไอเรื้อรังกับโรคหืด
รู้สู้โรค : ปวดไหล่จากกระดูกงอก หินปูน ข้อไหล่เสื่อม
รู้สู้โรค : “30 บาทรักษาทุกที่” กับคลินิกกายภาพบำบัดชุมชนอบอุ่น