การทำเกษตรในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำนาหรือปลูกพืชดั้งเดิมอีกต่อไป หลายชุมชนได้ค้นพบทางเลือกใหม่ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือการเพาะเห็ดหูหนูดำ ซึ่งกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชุมชนในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
คุณบุญนำ เกษตรกรเจ้าของฟาร์มเห็ดหูหนู เล่าว่าเขามีพื้นเพเกิดที่จังหวัดอุดรธานี ก่อนย้ายมาอยู่ราชบุรีเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ด้วยความชอบในอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก แม้จะเคยทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมช่วงหนึ่ง แต่เมื่อได้พบกับภรรยาซึ่งมีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง จึงตัดสินใจเริ่มต้นทำเห็ดหูหนูด้วยเงินเก็บก้อนหนึ่ง
"ผมชอบเกษตรมาตั้งแต่เด็ก เห็นพ่อดำนาปลูกข้าว" คุณบุญนำเล่าถึงแรงบันดาลใจ "ตอนเริ่มต้น ผมลงทุนสร้างหนึ่งโรงเรือนก่อน พอขายผลผลิตได้แล้วพบว่ารายได้โอเค ปีหนึ่งสามารถทำได้สี่รอบต่อโรงเรือน ก็เลยเก็บเงินมาขยายกิจการเพิ่ม"
จากเริ่มต้นเพียงหนึ่งโรงเรือน ปัจจุบันฟาร์มของคุณบุญนำมีโรงเรือนถึง 26 หลัง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
เห็ดหูหนูมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากเห็ดชนิดอื่น คือออกดอกด้านข้างเชือก และสามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดี สภาพอากาศแถวอำเภอเมืองเจดีย์หักจึงเหมาะสมกับการเพาะเห็ดชนิดนี้ อีกทั้งยังมีคลองชลประทานส่งน้ำผ่านให้ใช้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ การทำเห็ดหูหนูยังมีข้อดีคือ สามารถรู้ต้นทุนและผลกำไรได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 - 3 เดือน โดยเห็ดหูหนูจะให้ผลผลิตต่อรอบประมาณ 500 - 600 กิโลกรัม และสามารถเก็บผลผลิตได้ถึง 6 - 8 ครั้งต่อก้อน หากไม่มีเชื้อรารบกวน
การผลิตก้อนเชื้อเห็ดเริ่มจากการเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งประกอบด้วย:
ความชื้นในส่วนผสมต้องอยู่ที่อย่างน้อย 70% ซึ่งสามารถทดสอบง่ายๆ โดยการกำดู หากกำแล้วเป็นก้อนเดียวแสดงว่าชื้นเกินไป แต่ถ้าแบมือออกแล้วแตกเป็น 3 ก้อนพอดี แสดงว่ามีความชื้นที่เหมาะสม
หลังจากอัดก้อนเชื้อเสร็จแล้ว จะใส่สำลีเพื่อกันความชื้นและป้องกันแมลงเชื้อรา จากนั้นนำไปนึ่งที่อุณหภูมิ 100 องศาเป็นเวลา 5 ชั่วโมง เมื่อนึ่งเสร็จต้องพักให้เย็นก่อนใส่เชื้อเห็ดหูหนู
เชื้อเห็ดหูหนูทำมาจากเมล็ดข้าวฟ่างที่เลี้ยงวุ้นให้เส้นใยเดินจนขาว การใส่เชื้อต้องทำในสภาพที่สะอาด โดยใช้แอลกอฮอล์ฉีดฆ่าเชื้อก่อน แล้วเขี่ยเชื้อลงไป 25-30 เม็ดต่อหนึ่งก้อน จากนั้นปิดด้วยสำลีและกระดาษ
เมื่อใส่เชื้อเสร็จแล้ว นำก้อนเชื้อไปเรียงในโรงบ่ม ซึ่งควรมีพื้นปูนเพื่อป้องกันโรคและแมลง และต้องมีอากาศถ่ายเทได้ดีเพื่อให้เส้นใยเดินสมบูรณ์ ใช้เวลาบ่มประมาณ 40 วัน
หลังบ่มครบ 40 วัน เส้นใยจะเดินเต็มก้อน จากนั้นทำการกรีดแผลเพื่อให้เห็ดออกดอก โดยหนึ่งก้อนจะกรีด 10 แผล แบ่งเป็นแผลที่ตูด 2 แผล และด้านข้าง 4 มุม มุมละ 2 แผล
สำคัญคือต้องกรีดเฉียง ไม่ใช่กรีดตรง เพราะถ้ากรีดตรง น้ำจะเข้าแผลง่ายและทำให้เสียหาย หลังกรีดเสร็จต้องดึงกระดาษ สำลี และคอออก แล้วโรยปูนขาวประมาณครึ่งถึงหนึ่งช้อนแกงเพื่อป้องกันก้อนชื้นและเสียง่าย
การโยงเห็ดเป็นเทคนิคเฉพาะของชุมชนนี้ ซึ่งแตกต่างจากแบบ "เห็ดคอนโด" โดยจะผูกก้อนเห็ดเป็นชุด ชุดละ 10 ก้อน แล้วแขวนไว้กับไม้หรือเหล็ก โดยให้ห่างจากพื้นประมาณ 50 ซม. เพื่อให้ได้รับความชื้นพอดี
หนึ่งไม้จะมี 7 พวง (70 ก้อน) โดยรอบในมี 5 พวง รอบนอกมี 2 พวง เพื่อกระจายน้ำหนักให้สมดุล หลังจากโยงเสร็จ รออีกประมาณ 20 วันก็จะได้เก็บผลผลิตชุดแรก
การเก็บเห็ดหูหนูควรทำในช่วงเช้ามืด (ประมาณตี 4) เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน โดยดูที่ช่อเห็ดที่บานแล้ว แล้วใช้มือดึงออกมาทีละช่อ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ
หลังเก็บเห็ดแล้ว ต้องนำมาตัดแต่งโดยใช้มีดเล็กเฉือนขี้เลื่อยออกให้หมด จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำเปล่าและแช่ประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อให้สิ่งสกปรกออกหมด ทำให้เห็ดดูสดและน่ารับประทาน
เห็ดหูหนูดำสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น
เห็ดหูหนูดำมีเอกลักษณ์คือความนุ่มหนึบ เด้ง และกรอบในเวลาเดียวกัน ทำให้อาหารมีรสชาติและสัมผัสที่พิเศษ
ก่อนหน้านี้ ชุมชนแถวนี้ทำนาเพียงปีละครั้ง หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานโรงงาน ทำให้ในเวลากลางวัน หมู่บ้านเงียบสนิทจนเหมือน "ป่าช้า" คนวัยทำงานต้องออกจากชุมชนไปค้าแรงงาน กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำ
การริเริ่มทำเห็ดหูหนูในชุมชนเกิดจากการประชุมร่วมกันเพื่อหาอาชีพที่ให้คนในชุมชนได้ทำงานใกล้บ้าน โดยไม่ต้องออกไปรับจ้างข้างนอก จนกลายเป็นกองทุนหมู่บ้านที่ผลิตก้อนเชื้อเห็ดเอง ทำให้ต้นทุนต่ำลง
ปัจจุบัน แทบทุกครอบครัวในหมู่บ้านทำเห็ด คิดเป็นประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยแต่ละครอบครัวมีประมาณ 5 โรงเรือน ซึ่งสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้โดยไม่ต้องทำอาชีพอื่น
นอกจากการสร้างอาชีพแล้ว การทำเห็ดหูหนูยังสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนผ่านการรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้:
ระบบนี้ทำให้ไม่มีขยะเหลือทิ้งเลย ช่วยลดปัญหาขยะในชุมชนไปในตัว
จากการเริ่มต้นเพียงไม่กี่ครัวเรือน ปัจจุบันมีการผลิตก้อนเชื้อเห็ดวันละ 4,500 ก้อน เพื่อส่งให้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นคนในชุมชน 100% ทั้งคนหนุ่มสาวและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถไปทำงานที่อื่นได้
คนในชุมชนมีรายได้ทั้งจากการขายผลผลิตเห็ดและการรับจ้างในกระบวนการผลิต เช่น การตัดแต่งฐานเห็ด ซึ่งสร้างรายได้วันละ 200-300 บาทต่อคน นอกจากนี้ยังมีพ่อค้ามารับซื้อก้อนเชื้อเห็ดที่หมดแล้วในราคาตันละ 400 บาท สร้างรายได้เสริมให้ชุมชน
คุณบุญนำได้รับใบรับรองมาตรฐาน GAP และ PGS จากสำนักงานเกษตรและกรมวิชาการเกษตร รับรองว่าเป็นเห็ดหูหนูที่ปลอดสาร เขาภูมิใจที่สามารถเลี้ยงครอบครัวและส่งลูกเรียนจบปริญญาด้วยอาชีพเกษตรกร
ในช่วงราคาเห็ดดี รายได้ต่อเดือนอาจสูงถึง 3-4 แสนบาท แม้ในช่วงราคาตกก็ยังไม่ขาดทุน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
"ผมภูมิใจที่เป็นเกษตรกรเต็มตัว สามารถดึงคนรอบข้างให้เห็นว่าเรามีพื้นที่ทำกิน ทำไมต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดนอกถิ่นฐาน เราตื่นขึ้นมาเช้า มีงานทำ ก้าวออกจากบ้านมีรายได้เข้ามา โดยไม่ต้องขี่รถออกไปข้างนอก อยากกินอะไรเราก็ปลูกได้ ผมว่ามันดีนะ" คุณบุญนำกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
การเพาะเห็ดหูหนูดำในชุมชนเจดีย์หัก จังหวัดราชบุรี ไม่เพียงแค่เป็นอาชีพที่สร้างรายได้มั่นคง แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างรอบด้าน จากชุมชนที่เคยเงียบเหงาเหมือน "ป่าช้า" ในเวลากลางวัน กลายเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา มีการรวมกลุ่มทำงาน สร้างอาชีพ และพึ่งพาตนเองได้
ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาด้านการเกษตร การรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้เห็ดหูหนูดำกลายเป็นมากกว่าพืชเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ประสบการณ์ของชุมชนเจดีย์หักและเรื่องราวของคุณบุญนำ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชุมชนอื่นๆ ในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน โดยใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live
การทำเกษตรในปัจจุบันไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำนาหรือปลูกพืชดั้งเดิมอีกต่อไป หลายชุมชนได้ค้นพบทางเลือกใหม่ที่สร้างรายได้อย่างยั่งยืน หนึ่งในนั้นคือการเพาะเห็ดหูหนูดำ ซึ่งกำลังเปลี่ยนวิถีชีวิตของชุมชนในอำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี
คุณบุญนำ เกษตรกรเจ้าของฟาร์มเห็ดหูหนู เล่าว่าเขามีพื้นเพเกิดที่จังหวัดอุดรธานี ก่อนย้ายมาอยู่ราชบุรีเมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว ด้วยความชอบในอาชีพเกษตรกรรมมาตั้งแต่เด็ก แม้จะเคยทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมช่วงหนึ่ง แต่เมื่อได้พบกับภรรยาซึ่งมีพื้นที่ทำกินเป็นของตัวเอง จึงตัดสินใจเริ่มต้นทำเห็ดหูหนูด้วยเงินเก็บก้อนหนึ่ง
"ผมชอบเกษตรมาตั้งแต่เด็ก เห็นพ่อดำนาปลูกข้าว" คุณบุญนำเล่าถึงแรงบันดาลใจ "ตอนเริ่มต้น ผมลงทุนสร้างหนึ่งโรงเรือนก่อน พอขายผลผลิตได้แล้วพบว่ารายได้โอเค ปีหนึ่งสามารถทำได้สี่รอบต่อโรงเรือน ก็เลยเก็บเงินมาขยายกิจการเพิ่ม"
จากเริ่มต้นเพียงหนึ่งโรงเรือน ปัจจุบันฟาร์มของคุณบุญนำมีโรงเรือนถึง 26 หลัง สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ
เห็ดหูหนูมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากเห็ดชนิดอื่น คือออกดอกด้านข้างเชือก และสามารถทนต่อสภาพอากาศร้อนชื้นได้ดี สภาพอากาศแถวอำเภอเมืองเจดีย์หักจึงเหมาะสมกับการเพาะเห็ดชนิดนี้ อีกทั้งยังมีคลองชลประทานส่งน้ำผ่านให้ใช้ตลอดทั้งปี
นอกจากนี้ การทำเห็ดหูหนูยังมีข้อดีคือ สามารถรู้ต้นทุนและผลกำไรได้ภายในระยะเวลาไม่เกิน 2 - 3 เดือน โดยเห็ดหูหนูจะให้ผลผลิตต่อรอบประมาณ 500 - 600 กิโลกรัม และสามารถเก็บผลผลิตได้ถึง 6 - 8 ครั้งต่อก้อน หากไม่มีเชื้อรารบกวน
การผลิตก้อนเชื้อเห็ดเริ่มจากการเตรียมวัตถุดิบ ซึ่งประกอบด้วย:
ความชื้นในส่วนผสมต้องอยู่ที่อย่างน้อย 70% ซึ่งสามารถทดสอบง่ายๆ โดยการกำดู หากกำแล้วเป็นก้อนเดียวแสดงว่าชื้นเกินไป แต่ถ้าแบมือออกแล้วแตกเป็น 3 ก้อนพอดี แสดงว่ามีความชื้นที่เหมาะสม
หลังจากอัดก้อนเชื้อเสร็จแล้ว จะใส่สำลีเพื่อกันความชื้นและป้องกันแมลงเชื้อรา จากนั้นนำไปนึ่งที่อุณหภูมิ 100 องศาเป็นเวลา 5 ชั่วโมง เมื่อนึ่งเสร็จต้องพักให้เย็นก่อนใส่เชื้อเห็ดหูหนู
เชื้อเห็ดหูหนูทำมาจากเมล็ดข้าวฟ่างที่เลี้ยงวุ้นให้เส้นใยเดินจนขาว การใส่เชื้อต้องทำในสภาพที่สะอาด โดยใช้แอลกอฮอล์ฉีดฆ่าเชื้อก่อน แล้วเขี่ยเชื้อลงไป 25-30 เม็ดต่อหนึ่งก้อน จากนั้นปิดด้วยสำลีและกระดาษ
เมื่อใส่เชื้อเสร็จแล้ว นำก้อนเชื้อไปเรียงในโรงบ่ม ซึ่งควรมีพื้นปูนเพื่อป้องกันโรคและแมลง และต้องมีอากาศถ่ายเทได้ดีเพื่อให้เส้นใยเดินสมบูรณ์ ใช้เวลาบ่มประมาณ 40 วัน
หลังบ่มครบ 40 วัน เส้นใยจะเดินเต็มก้อน จากนั้นทำการกรีดแผลเพื่อให้เห็ดออกดอก โดยหนึ่งก้อนจะกรีด 10 แผล แบ่งเป็นแผลที่ตูด 2 แผล และด้านข้าง 4 มุม มุมละ 2 แผล
สำคัญคือต้องกรีดเฉียง ไม่ใช่กรีดตรง เพราะถ้ากรีดตรง น้ำจะเข้าแผลง่ายและทำให้เสียหาย หลังกรีดเสร็จต้องดึงกระดาษ สำลี และคอออก แล้วโรยปูนขาวประมาณครึ่งถึงหนึ่งช้อนแกงเพื่อป้องกันก้อนชื้นและเสียง่าย
การโยงเห็ดเป็นเทคนิคเฉพาะของชุมชนนี้ ซึ่งแตกต่างจากแบบ "เห็ดคอนโด" โดยจะผูกก้อนเห็ดเป็นชุด ชุดละ 10 ก้อน แล้วแขวนไว้กับไม้หรือเหล็ก โดยให้ห่างจากพื้นประมาณ 50 ซม. เพื่อให้ได้รับความชื้นพอดี
หนึ่งไม้จะมี 7 พวง (70 ก้อน) โดยรอบในมี 5 พวง รอบนอกมี 2 พวง เพื่อกระจายน้ำหนักให้สมดุล หลังจากโยงเสร็จ รออีกประมาณ 20 วันก็จะได้เก็บผลผลิตชุดแรก
การเก็บเห็ดหูหนูควรทำในช่วงเช้ามืด (ประมาณตี 4) เพื่อหลีกเลี่ยงความร้อน โดยดูที่ช่อเห็ดที่บานแล้ว แล้วใช้มือดึงออกมาทีละช่อ ไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ
หลังเก็บเห็ดแล้ว ต้องนำมาตัดแต่งโดยใช้มีดเล็กเฉือนขี้เลื่อยออกให้หมด จากนั้นนำไปล้างด้วยน้ำเปล่าและแช่ประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อให้สิ่งสกปรกออกหมด ทำให้เห็ดดูสดและน่ารับประทาน
เห็ดหูหนูดำสามารถนำไปประกอบอาหารได้หลากหลาย เช่น
เห็ดหูหนูดำมีเอกลักษณ์คือความนุ่มหนึบ เด้ง และกรอบในเวลาเดียวกัน ทำให้อาหารมีรสชาติและสัมผัสที่พิเศษ
ก่อนหน้านี้ ชุมชนแถวนี้ทำนาเพียงปีละครั้ง หลังจากนั้นคนส่วนใหญ่ต้องออกไปทำงานโรงงาน ทำให้ในเวลากลางวัน หมู่บ้านเงียบสนิทจนเหมือน "ป่าช้า" คนวัยทำงานต้องออกจากชุมชนไปค้าแรงงาน กว่าจะกลับบ้านก็มืดค่ำ
การริเริ่มทำเห็ดหูหนูในชุมชนเกิดจากการประชุมร่วมกันเพื่อหาอาชีพที่ให้คนในชุมชนได้ทำงานใกล้บ้าน โดยไม่ต้องออกไปรับจ้างข้างนอก จนกลายเป็นกองทุนหมู่บ้านที่ผลิตก้อนเชื้อเห็ดเอง ทำให้ต้นทุนต่ำลง
ปัจจุบัน แทบทุกครอบครัวในหมู่บ้านทำเห็ด คิดเป็นประมาณ 70% ของพื้นที่ทั้งหมด โดยแต่ละครอบครัวมีประมาณ 5 โรงเรือน ซึ่งสามารถสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวได้โดยไม่ต้องทำอาชีพอื่น
นอกจากการสร้างอาชีพแล้ว การทำเห็ดหูหนูยังสร้างความยั่งยืนให้ชุมชนผ่านการรีไซเคิลวัสดุเหลือใช้:
ระบบนี้ทำให้ไม่มีขยะเหลือทิ้งเลย ช่วยลดปัญหาขยะในชุมชนไปในตัว
จากการเริ่มต้นเพียงไม่กี่ครัวเรือน ปัจจุบันมีการผลิตก้อนเชื้อเห็ดวันละ 4,500 ก้อน เพื่อส่งให้กับสมาชิกวิสาหกิจชุมชน ซึ่งเป็นคนในชุมชน 100% ทั้งคนหนุ่มสาวและผู้สูงอายุที่ไม่สามารถไปทำงานที่อื่นได้
คนในชุมชนมีรายได้ทั้งจากการขายผลผลิตเห็ดและการรับจ้างในกระบวนการผลิต เช่น การตัดแต่งฐานเห็ด ซึ่งสร้างรายได้วันละ 200-300 บาทต่อคน นอกจากนี้ยังมีพ่อค้ามารับซื้อก้อนเชื้อเห็ดที่หมดแล้วในราคาตันละ 400 บาท สร้างรายได้เสริมให้ชุมชน
คุณบุญนำได้รับใบรับรองมาตรฐาน GAP และ PGS จากสำนักงานเกษตรและกรมวิชาการเกษตร รับรองว่าเป็นเห็ดหูหนูที่ปลอดสาร เขาภูมิใจที่สามารถเลี้ยงครอบครัวและส่งลูกเรียนจบปริญญาด้วยอาชีพเกษตรกร
ในช่วงราคาเห็ดดี รายได้ต่อเดือนอาจสูงถึง 3-4 แสนบาท แม้ในช่วงราคาตกก็ยังไม่ขาดทุน ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา
"ผมภูมิใจที่เป็นเกษตรกรเต็มตัว สามารถดึงคนรอบข้างให้เห็นว่าเรามีพื้นที่ทำกิน ทำไมต้องออกไปทำงานต่างจังหวัดนอกถิ่นฐาน เราตื่นขึ้นมาเช้า มีงานทำ ก้าวออกจากบ้านมีรายได้เข้ามา โดยไม่ต้องขี่รถออกไปข้างนอก อยากกินอะไรเราก็ปลูกได้ ผมว่ามันดีนะ" คุณบุญนำกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ
การเพาะเห็ดหูหนูดำในชุมชนเจดีย์หัก จังหวัดราชบุรี ไม่เพียงแค่เป็นอาชีพที่สร้างรายได้มั่นคง แต่ยังเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคนในชุมชนอย่างรอบด้าน จากชุมชนที่เคยเงียบเหงาเหมือน "ป่าช้า" ในเวลากลางวัน กลายเป็นชุมชนที่มีชีวิตชีวา มีการรวมกลุ่มทำงาน สร้างอาชีพ และพึ่งพาตนเองได้
ความสำเร็จนี้เกิดจากการผสมผสานระหว่างภูมิปัญญาด้านการเกษตร การรวมกลุ่มวิสาหกิจชุมชน และการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ทำให้เห็ดหูหนูดำกลายเป็นมากกว่าพืชเศรษฐกิจ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน
ประสบการณ์ของชุมชนเจดีย์หักและเรื่องราวของคุณบุญนำ เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับชุมชนอื่นๆ ในการสร้างอาชีพที่ยั่งยืน โดยใช้ทรัพยากรและภูมิปัญญาในท้องถิ่น ซึ่งไม่เพียงสร้างรายได้ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
ติดตามชมรายการมหาอำนาจบ้านนา วันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลา 16.05 - 16.30 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมทีวีออนไลน์ทาง www.thaipbs.or.th/Live