ทหารเมียนมาใช้ยุทธวิธีการรบ ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงมือเปล่า
Amnesty International หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล เผยแพร่รายงานผลการศึกษาวิธีการสลายการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหาร โดยใช้ข้อมูลจากวิดีโอเหตุการณ์ การใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมในระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 8 มี.ค. 64 จำนวน 55 คลิปวิดีโอ พบว่า วิธีการที่ใช้เป็นยุทธวิธีการรบกับศัตรู ไม่ใช่วิธีการสลายการชุมนุม
คลิปวิดีโอที่แอมเนสตี้ใช้เป็นข้อมูลในการศึกษา เป็นเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมที่นครย่างกุ้ง ทวาย มัณฑะเลย์ เมาะลำไย โมนิวา มะริด และมิตจีนา
จากข้อมูลเหตุการณ์วิดีโอบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด แอมเนสตี้ พบว่า กองทัพเมียนมามีการวางแผนปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงครามอย่างสอดประสานกัน โดยอ้างอิงพยานหลักฐาน ดังนี้
วันที่ 2 มี.ค. เหตุการณ์ที่ย่าน Sanchaung ในนครย่างกุ้ง มีภาพนายทหาร ยืนข้าง ๆ พลปืนซุ่มยิงระยะไกล หรือ สไนเปอร์ คอยสั่งการชี้เป้าผู้ชุมนุมที่ตกเป็นเป้าหมายถูกซุ่มยิงระยะไกล
วันที่ 3 มี.ค. ที่ North Okkalapa ชานเมืองนครย่างกุ้ง ทหารควบคุมตัวผู้ชุมนุมชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ไปที่กลุ่มทหาร หลังจากนั้นก็มีทหารอีกคนใช้ปืนจ่อยิงชายที่ถูกควบคุมตัว ล้มลงสิ้นใจบนถนน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ทหารก็ช่วยกันลากศพชายผู้นั้นออกไป
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่เมืองทวาย เป็นภาพเหตุการณ์ขณะทหารยื่นปืนไรเฟิลให้ตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็สั่งให้ตำรวจยิงปืนใส่ผู้ชุมนุม พอยิงเสร็จกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ทำท่าดีอกดีใจ
Joanne Mariner แห่งองค์การนิรโทษกรรมสากล บอกว่า เทคนิคที่กองทัพเมียนมาใช้ปราบปรามประชาชนหลังการรัฐประหาร ไม่ใช่เทคนิคใหม่ แต่ว่าคราวนี้ มันแตกต่างตรงที่หลายเหตุการณ์มีการถ่ายทอดสด (Live streaming) ผ่านเฟซบุ๊กให้ชาวโลกได้เห็นกันสด ๆ
“สิ่งที่นายทหารในกองทัพเมียนมาสั่งการให้ทหารสังหารประชาชนโดยไม่ได้รู้สึกผิดบาป ก่ออาชญากรรมโดยเปิดเผย เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” Mariner กล่าว
“หลายปีที่ผ่านมากองทัพเมียนมา ได้กระทำโหดร้ายทารุณกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา ทั้งชาติพันธุ์ฉิ่น คะฉิ่น กะเหรี่ยง โรฮิงญา ชาวไทยใหญ่ในรัฐฉาน”
Mariner บอกว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล ได้เคยยื่นเรื่องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศให้นำตัวนายพลมินอ่อง หล่าย และนายทหารระดับสูงในกองทัพเมียนมา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่คณะมนตรีความมั่นคงก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ วันนี้เราจึงยังคงเห็นทหารเมียนมาหันปากกระบอกปืนใส่ผู้ชุมนุม
รายงานของแอมเนสตี้ ระบุว่า จากหลักฐานวิดีโอยังพบว่า ทหารเมียนมามีการใช้อาวุธสงครามด้วยความคึกคะนอง โดยยกเหตุการณ์ ที่เมาะลำไย ในรัฐมอญ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เป็นหลักฐาน โดยในวันนั้นทหารเมียนมานั่งรถปิกอัพกราดยิงกระสุนจริงอย่างสะเปะสะปะไม่มีทิศทาง กระทั่งบ้านเรือนประชาชนก็ไม่เว้น
ในคลิปวิดีโอที่องค์การนิรโทษกรรมสากล ใช้ศึกษาวิธีการปราบปรามประชาชนของกองทัพเมียนมา พบว่ามีการนำทหารหน่วยรบที่มีชื่อเสียงในความโหดร้ายทารุณ ที่มีประวัติการปราบปรามชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮงญา ในรัฐยะไข่ ชาวไทยใหญ่ในรัฐฉาน และชาวคะฉิ่น ในรัฐคะฉิ่น ร่วมปฏิบัติการปราบปรามผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหาร โดยใช้กองพลทหารราบเบาที่ 33 ปฏิบัติการที่มัณฑะเลย์ กองพลทหารราบเบาที่ 77 ปฏิบัติการที่ย่างกุ้ง และกองพลทหารราบเบาที่ 101 ปฏิบัติการที่โมนิวา
หมายเหตุภาพ AFP หน่วยทหารสไนเปอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในการปราบปรามผู้ชุมนุมที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ.
แท็กที่เกี่ยวข้อง:
ทหารเมียนมาใช้ยุทธวิธีการรบ ปราบปรามผู้ชุมนุมประท้วงมือเปล่า
Amnesty International หรือ องค์การนิรโทษกรรมสากล เผยแพร่รายงานผลการศึกษาวิธีการสลายการชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหาร โดยใช้ข้อมูลจากวิดีโอเหตุการณ์ การใช้กำลังทหารสลายการชุมนุมในระหว่างวันที่ 28 ก.พ. - 8 มี.ค. 64 จำนวน 55 คลิปวิดีโอ พบว่า วิธีการที่ใช้เป็นยุทธวิธีการรบกับศัตรู ไม่ใช่วิธีการสลายการชุมนุม
คลิปวิดีโอที่แอมเนสตี้ใช้เป็นข้อมูลในการศึกษา เป็นเหตุการณ์ปราบปรามผู้ชุมนุมที่นครย่างกุ้ง ทวาย มัณฑะเลย์ เมาะลำไย โมนิวา มะริด และมิตจีนา
จากข้อมูลเหตุการณ์วิดีโอบันทึกเหตุการณ์ทั้งหมด แอมเนสตี้ พบว่า กองทัพเมียนมามีการวางแผนปราบปรามประชาชนด้วยอาวุธสงครามอย่างสอดประสานกัน โดยอ้างอิงพยานหลักฐาน ดังนี้
วันที่ 2 มี.ค. เหตุการณ์ที่ย่าน Sanchaung ในนครย่างกุ้ง มีภาพนายทหาร ยืนข้าง ๆ พลปืนซุ่มยิงระยะไกล หรือ สไนเปอร์ คอยสั่งการชี้เป้าผู้ชุมนุมที่ตกเป็นเป้าหมายถูกซุ่มยิงระยะไกล
วันที่ 3 มี.ค. ที่ North Okkalapa ชานเมืองนครย่างกุ้ง ทหารควบคุมตัวผู้ชุมนุมชายคนหนึ่ง ซึ่งไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ไปที่กลุ่มทหาร หลังจากนั้นก็มีทหารอีกคนใช้ปืนจ่อยิงชายที่ถูกควบคุมตัว ล้มลงสิ้นใจบนถนน หลังจากนั้นไม่กี่วินาที ทหารก็ช่วยกันลากศพชายผู้นั้นออกไป
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่เมืองทวาย เป็นภาพเหตุการณ์ขณะทหารยื่นปืนไรเฟิลให้ตำรวจที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แล้วก็สั่งให้ตำรวจยิงปืนใส่ผู้ชุมนุม พอยิงเสร็จกลุ่มทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ทำท่าดีอกดีใจ
Joanne Mariner แห่งองค์การนิรโทษกรรมสากล บอกว่า เทคนิคที่กองทัพเมียนมาใช้ปราบปรามประชาชนหลังการรัฐประหาร ไม่ใช่เทคนิคใหม่ แต่ว่าคราวนี้ มันแตกต่างตรงที่หลายเหตุการณ์มีการถ่ายทอดสด (Live streaming) ผ่านเฟซบุ๊กให้ชาวโลกได้เห็นกันสด ๆ
“สิ่งที่นายทหารในกองทัพเมียนมาสั่งการให้ทหารสังหารประชาชนโดยไม่ได้รู้สึกผิดบาป ก่ออาชญากรรมโดยเปิดเผย เป็นการก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติ” Mariner กล่าว
“หลายปีที่ผ่านมากองทัพเมียนมา ได้กระทำโหดร้ายทารุณกับชาติพันธุ์ต่าง ๆ ในเมียนมา ทั้งชาติพันธุ์ฉิ่น คะฉิ่น กะเหรี่ยง โรฮิงญา ชาวไทยใหญ่ในรัฐฉาน”
Mariner บอกว่า องค์การนิรโทษกรรมสากล ได้เคยยื่นเรื่องให้คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ฟ้องร้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศให้นำตัวนายพลมินอ่อง หล่าย และนายทหารระดับสูงในกองทัพเมียนมา เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม แต่คณะมนตรีความมั่นคงก็ไม่ได้ดำเนินการใด ๆ วันนี้เราจึงยังคงเห็นทหารเมียนมาหันปากกระบอกปืนใส่ผู้ชุมนุม
รายงานของแอมเนสตี้ ระบุว่า จากหลักฐานวิดีโอยังพบว่า ทหารเมียนมามีการใช้อาวุธสงครามด้วยความคึกคะนอง โดยยกเหตุการณ์ ที่เมาะลำไย ในรัฐมอญ เมื่อวันที่ 1 มี.ค. เป็นหลักฐาน โดยในวันนั้นทหารเมียนมานั่งรถปิกอัพกราดยิงกระสุนจริงอย่างสะเปะสะปะไม่มีทิศทาง กระทั่งบ้านเรือนประชาชนก็ไม่เว้น
ในคลิปวิดีโอที่องค์การนิรโทษกรรมสากล ใช้ศึกษาวิธีการปราบปรามประชาชนของกองทัพเมียนมา พบว่ามีการนำทหารหน่วยรบที่มีชื่อเสียงในความโหดร้ายทารุณ ที่มีประวัติการปราบปรามชนกลุ่มน้อยมุสลิมโรฮงญา ในรัฐยะไข่ ชาวไทยใหญ่ในรัฐฉาน และชาวคะฉิ่น ในรัฐคะฉิ่น ร่วมปฏิบัติการปราบปรามผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลทหาร โดยใช้กองพลทหารราบเบาที่ 33 ปฏิบัติการที่มัณฑะเลย์ กองพลทหารราบเบาที่ 77 ปฏิบัติการที่ย่างกุ้ง และกองพลทหารราบเบาที่ 101 ปฏิบัติการที่โมนิวา
หมายเหตุภาพ AFP หน่วยทหารสไนเปอร์ ปรากฏตัวครั้งแรกในการปราบปรามผู้ชุมนุมที่เมืองมัณฑะเลย์ เมื่อวันที่ 20 ก.พ.
แท็กที่เกี่ยวข้อง: