รัสเซียและยูเครน ต่างฝ่ายต่างกล่าวหากันและกันว่าเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเนื่องในวันอีสเตอร์ที่ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินของรัสเซียประกาศไว้ โดยทั้งสองฝ่ายต่างอ้างว่าอีกฝ่ายหนึ่งได้เปิดฉากโจมตีกว่าหลายร้อยครั้ง และยังไม่มีสัญญาณว่าจะมีการขยายเวลาหยุดยิงออกไป
ประธานาธิบดีปูติน สั่งให้กองทัพรัสเซียในแนวหน้ายุติปฏิบัติการทางทหารทั้งหมด ตั้งแต่เวลาเที่ยงคืนของวันเสาร์จนถึงเวลาเที่ยงคืนของวันอาทิตย์ตามเวลามอสโก อย่างไรก็ตาม เพียง 5 ชั่วโมงก่อนหมดเวลาหยุดยิง สำนักข่าว TASS รายงานคำกล่าวของโฆษกเครมลิน ดมีตรี เปสคอฟ ว่า "ยังไม่มีคำสั่งอื่นเพิ่มเติม" หมายความว่า จะไม่มีการขยายเวลาหยุดยิงในครั้งนี้
ด้านประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ของยูเครน ระบุว่า รัสเซียแสร้งว่าปฏิบัติตามข้อตกลงหยุดยิง แต่แท้จริงแล้วได้ทำการยิงปืนใหญ่หลายร้อยครั้งในคืนวันเสาร์ และยังมีการโจมตีต่อเนื่องในวันอาทิตย์ โดยระบุว่ารัสเซียเปิดฉากโจมตี 46 ครั้งตั้งแต่เที่ยงคืนจนถึงเวลา 16.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น
“ไม่ว่าปูตินจะควบคุมกองทัพของเขาไม่ได้ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นหลักฐานว่ารัสเซียไม่มีความตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะยุติสงคราม มีแต่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ทางประชาสัมพันธ์ให้ดูดีเท่านั้น” เซเลนสกีโพสต์บนแพลตฟอร์ม X
ขณะเดียวกัน กระทรวงกลาโหมรัสเซียระบุว่า ยูเครนเป็นฝ่ายละเมิดข้อตกลงมากกว่า 1,000 ครั้ง มีการยิงโจมตีจุดที่ตั้งของรัสเซีย 444 ครั้ง และใช้โดรนโจมตีกว่า 900 ครั้ง รวมถึงพื้นที่ไครเมีย และเขตแดนของรัสเซีย เช่น บรยานสก์ เคิร์สก์ และเบลโกรอด ส่งผลให้มีพลเรือนได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ปูตินยังได้สั่งการให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เตรียมพร้อมตอบโต้ “อย่างเต็มที่” หากยูเครนละเมิดข้อตกลงหยุดยิง
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โก รูบิโอ กล่าวเมื่อวันศุกร์ว่าหากไม่มีสัญญาณชัดเจนของความคืบหน้า สหรัฐฯ จะถอนตัวจากความพยายามเป็นคนกลางในการเจรจาสันติภาพ ซึ่งต้องการเป็นที่จดจำในฐานะ “ผู้นำสันติภาพ” กล่าวว่า สงครามในยูเครนมีความเสี่ยงที่จะลุกลาม
แท็กที่เกี่ยวข้อง: