Loading...

แชร์

Copied!

คลิปอ้างชาวกัมพูชาเชื้อสายไทยประท้วงขอกลับไทย ตรวจสอบแล้วแท้จริงสร้างจาก AI

4 พ.ย. 6820:08 น.
การเมือง#ข่าวปลอม
คลิปอ้างชาวกัมพูชาเชื้อสายไทยประท้วงขอกลับไทย ตรวจสอบแล้วแท้จริงสร้างจาก AI

Thai PBS Verify ตรวจสอบพบคลิปไวรัลพร้อมข้อความอ้าง “คนกัมพูชาเชื้อสายไทยประท้วงขอกลับไทย” แต่เมื่อวิเคราะห์ด้วยเครื่องมือตรวจจับเนื้อหา AI และการวิเคราะห์จากผู้เชี่ยวชาญ พบความผิดปกติของภาพและเสียงหลายจุด ยืนยันเป็นเพียงคลิปปลอมที่สร้างขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI ไม่ใช่เหตุการณ์จริง

Thai PBS Verify พบแหล่งที่มาจาก : Facebook

ตรวจสอบพบคลิปอ้าง ชาวกัมพูชาเชื้อสายไทยออกมาชุมนุมประท้วงเรื่องสิทธิที่ดินทำกินพร้อมอ้างว่าอดีตเคยถูกกลืนชาติ ต้องการกลับคืนสู่รากเหง้าในการเป็นคนไทย ภายในคลิปมีประชาชนถือธงชาติไทยนั่งบนโถส้วม โดยโพสต์ดังกล่าวมียอดถูกใจกว่า 12,000 คน จำนวนแสดงความคิดเห็น 921 คน และแชร์ 4,000 ครั้ง พร้อมแคปชันว่า เราภูมิใจในความเป็นคนไทยค่ะ 

โดยภายในคลิปวิดีโอมีคำบรรยายว่า 

เราคือคนไทยญาติภาคอีสาน เสียเอกราชเมื่อฝรั่งเศสมันยึดไป ข้าไม่ใช่เขมร เรารอแผ่นดินแม่มาช่วยเรากลับคืน เราคือคนไทย แผ่นดินแม่ช่วยเราด้วย

พร้อมเสียงบรรยายในคลิปว่า 

เริ่มจากการไม่พอใจในสิทธิในที่ดิน ได้ลุกลามกลายเป็นเรื่องใหญ่ระดับภูมิภาค เมื่อชุมนุมจำนวนหนึ่งได้ถือธงชาติไทยและตะโกนประกาศต่อสาธารณชนว่าตนมีเชื้อสายไทย เป็นลูกหลานชาวอีสาน ที่เคยถูกกลืนชาติไปตั้งแต่สมัยอาณานิคม

ภาพเหตุการณ์ดังกล่าวถูกถ่ายทอดผ่านไลฟ์สดและแอปพลิเคชันยอดนิยม ทำให้คนทั่วภูมิภาคตื่นตระหนก หลายคลิปแสดงให้เห็นกลุ่มผู้ประท้วงใส่ชุดพื้นเมืองถือธงไตรรงค์อย่างแน่วแน่ พร้อมตะโกนคำว่า เราคือคนไทยแท้ เราคืนกลับสู่รากเหง้าเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้ฮุนเซนไม่อาจนิ่งเฉย ผู้นำสูงสุดของเขมรจึงได้ออกคำสั่งเร่งด่วนให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงเข้าควบคุมสถานการณ์ทันที มีการจับกุม ปิดล้อม และสั่งลบคลิปทั้งหมดออกจากโลกออนไลน์ภายในไม่กี่ชั่วโมง พร้อมทั้งกล่าวหาว่ามีมือที่ 3 จากต่างชาติแทรกแซงเพื่อให้แตกแยกภายใน 

อย่างไรก็ตาม นั่งวิชาการด้านประวัติศาสตร์จากฝั่งไทยหลายคน ระุบว่า กระแสความรู้สึกประชาชนเขมรบางกลุ่มที่อ้างเชื้อสายไทยไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะในอดีต บริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย และชายแดนเขมรเคยเปนพื้นที่แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษาและเครือญาติกันมานานหลายชั่วอายุคน

“ประชาชนกัมพูชาบางส่วนยังรู้สึกว่า ตนเป็นลูกของสยาม มากกว่าผู้ใต้บังคับของพนมเปญ”

คลิปชาวกัมพูชาเชื้อสายไทยประท้วง เป็นคลิปจริงหรือไม่? 

เมื่อสังเกตที่วิดีโอดังกล่าวจะเห็นความผิดปกติหลายจุด ซึ่งบ่งชี้ว่าเนื้อหาดังกล่าวสร้างจากเทคโนโลยี AI 

ภาพซ้ายปรากฏเพียงขาโดยไม่มีลำตัว ขณะที่ภาพขวามีลำตัวคนแต่ไม่มีขา สะท้อนให้เห็นว่าวิดีโอดังกล่าวมีแนวโน้มถูกสร้างหรือปรับแต่งด้วย AI

เมื่อนำภาพบางส่วนในคลิปวิดีโอไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบเนื้อหา AI จากเว็บไซต์ deepware.ai พบว่าวิดีโอดังกล่าวมีแนวโน้มสร้างจาก AI เช่นกัน

ภาพแสดงผลการตรวจสอบโมเดล seferbekov: น่าสงสัย (71%), ผลรวมจากทุกโมเดล (Ensemble): น่าสงสัย (58%)

ขณะเดียวกัน สถาพน พัฒนะคูหา CEO บริษัท Guardian AI ยืนยันกับทาง Thai PBS Verify ว่า คลิปดังกล่าวสร้างจาก AI โดยพบว่าข้อสังเกตว่าเสียงที่ใช้บรรยายในคลิปดังกล่าวมีความไม่ลื่นไหล และลักษณะการเคลื่อนไหวของบุคคลในคลิปดูไม่เป็นธรรมชาติ และลักษณะคนในภาพผิดปกติ เช่น ลำตัวหาย หรือ มีแค่ขา ไม่มีลำตัว 

พื้นที่ที่ปรากฏคนไทยเชื้อสายกัมพูชา และคนกัมพูชาเชื้อสายไทยอาศัยอยู่

ทั้งนี้ พื้นที่ตามแนวชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชามีประชากรที่มีเชื้อสายผสมและมีความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ระหว่างกันปรากฏโดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย บริเวณเทือกเขาพนมดงรัก

รวมไปถึงในยุคสงครามเย็น โดยเฉพาะยุคเขมรแดง ก็ยังมีการอพยพของชาวกัมพูชามาตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ชายแดนไทย เช่น สุรินทร์ บุรีรัมย์ และศรีสะเกษ ซึ่งบางกลุ่มเรียกว่า “ขแมร์ลือ” (เขมรถิ่นไทย) และมีเครือญาติสัมพันธ์กับคนไทยในพื้นที่ฝั่งตรงข้ามของกัมพูชา

และในระหว่างปี 1979–1993 รัฐบาลไทยร่วมกับองค์การระหว่างประเทศ โดยเฉพาะสหประชาชาติ (UN) และสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ได้จัดตั้งค่ายผู้ลี้ภัยขึ้นตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชาหลายแห่งเพื่อรองรับชาวกัมพูชาที่หลบหนีจากสงครามกลางเมือง โดยมีผู้ลี้ภัยมากกว่า 300,000–400,000 คนอาศัยอยู่ในค่ายเหล่านี้ เมื่อสถานการณ์ในกัมพูชาคลี่คลายลงในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีผู้ลี้ภัยประมาณ 360,000 คนเดินทางกลับกัมพูชาอย่างเป็นทางการ ขณะที่อีกหลายพันคนเลือกตั้งถิ่นฐานอยู่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดน จ.สระแก้ว และอีสานใต้ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นชุมชนกึ่งถาวร เช่น หนองจาน หนองหญ้าแก้ว และโคกสูง จ.สระแก้ว

 

กระบวนการตรวจสอบ

1.ตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ Google Lens: เมื่อนำภาพส่วนหนึ่งจากคลิปวิดีโอดังกล่าวมีค้นหาด้วยเครื่องมือตรวจสอบภาพ Google Lens เพื่อหาต้นทางที่มาของเหตุการณ์ดังกล่าว พบว่า ไม่แสดงผลค้นหา

2.ตรวจสอบด้วยเครื่องมือตรวจสอบเนื้อหา AI: เมื่อนำคลิปวิดีโอดังกล่าวไปตรวจสอบด้วยเครื่องจากเว็บไซต์ deepware.ai ปรากฎผลลัพธ์ว่าคลิปดังกล่าวมีแนวโน้มสร้างจาก AI

3.ยืนยันกับทางผู้เชี่ยวชาญด้าน AI: เมื่อนำคลิปวิดีโอดังกล่าว ไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ได้รับการยืนยันว่าลักษณะการเคลื่อนไหวของคนในภาพและพบความผิดปกติของภาพหลายจุด บ่งชี้ว่าสร้างจาก AI

ผลกระทบของข้อมูลเท็จเหล่านี้

1.สร้างความเข้าใจผิดในวงกว้าง: คลิป AI ที่ดูสมจริงอาจทำให้ผู้คนเชื่อว่าเกิดเหตุการณ์จริง ส่งผลให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ทางสังคมหรือการเมือง โดยเฉพาะกรณีที่เกี่ยวข้องกับชาติพันธุ์หรือความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา

2.สร้างความเกลียดชังในสังคม : ข้อมูลที่อ้างถึงประวัติศาสตร์และเชื้อชาติเป็นข้อมูลที่ละเอียดอ่อน อาจกระตุ้นอารมณ์เรื่องกระแสชาตินิยม ทำให้อาจเกิดความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งได้

3.ลดความน่าเชื่อถือของสื่อและข้อมูลออนไลน์: เมื่อประชาชนพบว่าข้อมูลในโลกออนไลน์มักมีเนื้อหาปลอมปน ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อถือแม้กับสื่อที่รายงานข้อเท็จจริง
4.เป็นช่องทางให้ผู้ไม่หวังดีใช้เทคโนโลยีสร้างในทางที่ผิด: Deepfake และ AI สามารถถูกใช้ในสงครามข้อมูล เพื่อสร้างข่าวลวง ปั่นกระแส หรือทำลายภาพลักษณ์บุคคลและประเทศได้อย่างแนบเนียน

ข้อแนะนำเมื่อได้ข้อมูลเท็จนี้ ?

1.ตรวจสอบแหล่งที่มา: ดูว่าโพสต์มาจากแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้หรือไม่ เช่น เว็บไซต์ข่าวจริง หน่วยงานรัฐ หรือแพลตฟอร์มตรวจสอบข้อเท็จจริง 

2.สังเกตความผิดปกติในคลิปหรือภาพ: เช่น การเคลื่อนไหวไม่สมจริง ใบหน้าผิดสัดส่วน เงาแสงไม่สัมพันธ์กับภาพ เสียงพูดกระตุก หรือคำบรรยายไม่สอดคล้องกับภาพ  สัญญาณเหล่านี้มักบ่งบอกถึงการใช้ AI
3.ใช้เครื่องมือช่วยตรวจสอบ: นำภาพหรือวิดีโอไปตรวจสอบด้วยเครื่องมือ เช่น Deepware.ai, Hive Moderation, Google Lens เพื่อดูว่ามีแหล่งอื่นเคยเผยแพร่หรือไม่
4.อย่าแชร์ต่อทันทีหากไม่มั่นใจ: หยุดคิดก่อนกดแชร์ แม้จะเห็นว่า ควรรอการตรวจสอบจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือก่อน
5.รายงานหรือแจ้งหน่วยงานตรวจสอบ: หากพบว่าคอนเทนต์เป็นเท็จหรือมีแนวโน้มสร้างความเกลียดชัง ควรรายงานต่อแพลตฟอร์มที่พบ