เสร็จสิ้นการประชุม คณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ไทย - กัมพูชาสมัยวิสามัญ ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ไปแล้ว เมื่อวานนี้ (7 ส.ค. 2568) หลัง "พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์" รมช.กลาโหม รักษาราชการแทนรมว.กลาโหม และ "พล.อ.เตีย เซ็ยฮา" รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมกัมพูชา ได้ยืนยันการลงนามข้อตกลง"หยุดยิง" ระหว่างกัน 13 ข้อ มาไล่เลียงกันว่า ระหว่างไทย-กัมพูชา ใครได้-ใครเสีย
จริง ๆ แล้ว ไทย-กัมพูชา ต้องมีข้อตกลง 15 ข้อ แต่ฝั่งกัมพูชายังไม่ตอบรับที่จะตกลงด้วย โดยอ้างว่า ค่อยหยิบยกมาหารือในการประชุม GBC ครั้งหน้า อีก 2 ข้อ คือ ความร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความตึงเครียด จนนำไปสู่การปะทะตามแนวชายแดน โดยไทยพร้อมให้ความร่วมมือกับกัมพูชาในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการปะทะ และพื้นที่อื่น ๆ ตลอดแนวแนวชายแดนเพื่อความปลอดภัยของประชาชนทั้งสองประเทศ
และเรื่องความร่วมมือในการปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ไม่ว่าจะเป็นการ “หลอกลวงออนไลน์” หรือสแกมเมอร์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนคนไทย และประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคและทั่วโลก ซึ่งฝ่ายไทยจะต้องชิงข้อได้เปรียบบีบกัมพูชาให้ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวให้ได้ในวงประชุม GBC ในครั้งต่อไป

อย่างไรก็ตาม สำหรับ 13 ข้อที่ลงนาม “หยุดยิง” ไปแล้วนั้น ในแวดวงความมั่นคง วิเคราะห์ข้อความระหว่างบรรทัด โดยไล่เรียงในสาระสำคัญทั้งหมดในทุกข้อตกลง ต่างเห็นตรงกันว่า ในส่วนของประเทศไทยยังไม่พบข้อเสียเปรียบ ฝ่ายกัมพูชา แม้แต่น้อย
1.ยุติการใช้อาวุธทุกประเภท การโจมตีต่อพลเรือน เป้าหมายพลเรือน และเป้าหมายทางทหาร ในทุกพื้นที่และทุกกรณี
ในประเด็นนี้ สำหรับฝ่ายทางการไทยไม่ได้มีปัญหา ที่ผ่านมาทหารและเจ้าหน้าที่ไม่ได้เปิดฉากรุกรานฝั่งกัมพูชา ไม่ว่าจะเป็นกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่ต้องจับตาดู คือ ทางกัมพูชาจะสามารถทำตามข้อตกลงดังกล่าวนี้หรือไม่
2.รักษาสถานะการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน สถานะตั้งแต่ 28 ก.ค.68 โดยไม่มีการเคลื่อนย้ายกำลัง และไม่มีการลาดตระเวนไปยังที่ตั้งของอีกฝ่าย
ปัจจุบันทหารไทยอยู่มีการวางกำลังไว้แล้ว ทั้งหมด 11 จุด ตามแนวรบพระวิหาร ใน 4 จังหวัด สุรินทร์ บุรีรัมย์ ศีรษะเกษและอุบลราชธานี ประกอบด้วยพื้นที่ ภูมะเขือ, ช่องอานม้า ปราสาทตาเมือนธม, ปราสาทตาควาย เฉพาะพื้นที่ที่ห่างจากแนวปราสาทประมาณ 50 เมตร, ช่องบก, โดนตวล, สัตตะโสม, ช่องจอม, ช่องสายตะกู, พระวิหาร และพลาญยาว ที่ฝ่ายไทยสามารถคุมพื้นที่ได้ ณ เวลา 24.00 น. วันที่ 28 ก.ค.โดยไม่ได้เคลื่อนย้ายกำลัง และไม่เข้าไปในพื้นที่ของกัมพูชา

3.ไม่เพิ่มเติมกำลังตลอดแนวชายแดนไทย - กัมพูชา
ไทยไม่ได้มีการส่งกำลังทหารเพิ่มเติม แต่ยังคงกำลังทหารอยู่ในพื้นที่ตามปกติ
4.ไม่กระทำการอันเป็นการยั่วยุที่ส่งผลให้เกิดความตึงเครียด การมีกิจกรรมทางทหารเข้าไปยังดินแดน
เขตน่านฟ้า หรือที่ตั้งของอีกฝ่าย ตามสถานะการหยุดยิง ตั้งแต่ 28 ก.ค.68 จนถึงขณะนี้ ไทยไม่มีการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางทหารล้ำออกไปนอกขอบเขต และทหารไทย ยังคงใช้แผนที่มาตราส่วน 1:50,000 เป็นหลักในการยึดถือพื้นที่เดิมตั้งแต่ต้น

ส่วนเรื่องการล้ำเขตน่านฟ้า ทางไทยไม่เคยส่งโดรนเข้ามาสอดแนมหรือล้ำเข้ามาไปในอาณาเขตของกัมพูชา อาจมีแต่ฝั่งกัมพูชา ส่งโดรนเข้ามาในชายแดน จึงต้องเฝ้าระวังว่า หลังจากทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวแล้ว กัมพูชาจะปฏิบัติตามเงื่อนไขได้หรือไม่
5.ไม่ใช้กำลังต่อพลเรือน หรือเป้าหมายทางพลเรือนในทุกกรณี
ทางฝั่งไทยไม่เคยมีเป้าหมายในการใช้กำลังต่อประชาชน หรือพลเรือนชาวกัมพูชา และปฏิบัติตามหลักมนุษยธรรมสากล
6.การปฏิบัติตามอนุสัญญาเจนีวา : การปฏิบัติต่อผู้ที่ถูกจับกุมตัว การขอส่งตัวผู้บาดเจ็บมารักษาในสถาน พยาบาลของอีกฝ่าย โดยจะขึ้นอยู่กับศักยภาพในการรองรับของสถานพยาบาลแล้วแต่กรณี สำหรับทหารที่อยู่ในความควบคุมของอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับการปล่อยตัวและส่งกลับประเทศ หลังจากยุติการใช้กำลังโดยสมบูรณ์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตอย่างสมเกียรติโดยเร็ว และจัดการศพภายใต้สภาพที่ถูกสุขลักษณะและด้วยความเคารพ
ประเด็นนี้ อาจมีข้อถกเถียงกันมากในหมู่คนไทย เรื่องการปฎิบัติตามอนุ สัญญาเจนีวา ต้องไม่ลืมว่า ในช่วงเกิดเหตุการณ์ปะทะระหว่างทหารไทย-กัมพูชา และทหารกัมพูชาได้ยิง BM-21 เข้ามาในฝั่งไทย มีสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบมี20 แห่ง ทำให้ต้องปิดบริการ 13 แห่ง และปิดบางส่วน 7 แห่ง ส่วนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพสต.) ได้รับผลกระทบจำนวนทั้งสิ้น 175 แห่ง

ขณะนี้ แม้หลาย รพ.จะเปิดให้บริการผู้ป่วยได้ แต่จุดที่มีความเสียหาย ต้องมีการก่อสร้าง หากรับผู้ป่วยนอกเข้าก็ต้องดูว่ามีขีดความสามารถที่จะรักษาและศักยภาพรองรับได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้สะท้อนให้เห็นว่า ทางทหารกัมพูชาอาจมีผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก และที่ผ่านมายังไม่พบข้อมูลในเขมรว่า มีการเปิดรับบริจาคเลือดเพื่อช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากการสู้รบ
7.กรณีมีความขัดแย้งกันด้วยอาวุธทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ ทั้งสองฝ่ายจะหารือกันในระดับปฏิบัติผ่านกลไกทวิภาคีที่มีอยู่ เพื่อป้องกันการขยายตัวของสถานการณ์
ประเด็นนี้หมายถึงการใช้การเจรจาผ่านกลไกทวิภาคี ซึ่งที่ผ่านมา เป็นฝั่งกัมพูชาซึ่งหลีกเลี่ยงมาโดยตลอด ขณะที่ไทยไม่ได้มีปัญหาใด ๆ

ส่วนข้อ 8.เห็นชอบให้เพิ่มในเรื่องของการปฏิบัติ ใน 3 เรื่อง คือ การติดต่อสื่อสารอย่างต่อเนื่องระหว่างหน่วยทหารในพื้นที่ การจัดการประชุม RBC ภายใน 2 สัปดาห์นับจากการประชุม GBC ใน 7 ส.ค. 68 และการติดต่อสื่อสารโดยตรงระดับรัฐมนตรีและผู้บัญชาการทหารสูงสุดของทั้งสองประเทศ ทั้งสองฝ่ายต่างยอมรับ
และ 9. งดเว้นการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จหรือข่าวปลอม
ประเด็นนี้ที่ผ่านมาทุกหน่วยงานด้านความมั่นคง ไม่เคยเผยแพร่ Fake News หรือข้อมูลเท็จ และขณะนี้ทางศก.ทบ.ได้แต่งตั้ง น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสา ในการตอบโต้ข้อมูลเท็จจากทางฝั่งกัมพูชาด้วยเช่นกัน ซึ่งประเด็นนี้ถือเป็นเชือกมัดไม่ให้กัมพูชาปล่อยข่าวปลอม สร้างข้อมูลเท็จด้วยเช่นกัน
ส่วนที่ 2 กลไกตรวจสอบการหยุดยิง ข้อ 10. ทั้งสองฝ่ายต้องดำเนินการตามผลหารือ เมื่อ 28 ก.ค.2568 ซึ่งรวมถึงการหยุดยิงและการมีคณะผู้สังเกต การณ์จากประเทศสมาชิกอาเซียน นำโดยมาเลเซีย
ประเด็นนี้ถือว่าไทยมีความได้เปรียบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหยุดยิง หรืออื่น ๆ เนื่องจากหลังเกิดสถานการณ์สู้รบไทย-กัมพูชา ปี 2554 กัมพูชาไม่เคยให้ความสนใจและเดินตามกรอบกลไกทวิภาคี แม้ไทยจะทำหนังสือประท้วงเป็นร้อยครั้ง แต่ครั้งนี้ การมีมาเลเซียมาเป็นผู้ร่วมสังเกตุการณ์จะช่วยป้องกันการ บิดพลิ้ว ของทางฝ่ายกัมพูชา

ข้อ 11 คือ เห็นชอบให้ RBC ในแต่ละพื้นที่ ดำเนินการตามข้อตกลงหยุดยิง โดยมีโดยมีคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียน ซึ่งนำโดยมาเลเซียเป็นผู้ร่วมสังเกต การณ์ โดย RBC จะพบกันเป็นประจำ และส่งรายงานให้ GBC ตามสายการบังคับบัญชาของแต่ละฝ่าย
และ 12. ในระหว่างการจัดตั้งคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนที่มีมาเลเซีย เป็นผู้นำ จะใช้กลไกคณะผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว ซึ่งประกอบด้วยผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารประเทศสมาชิกอาเซียน ประจำประเทศไทย และกัมพูชา ทำหน้าที่แทนเป็นการชั่วคราว

ส่วนที่ 3 การประชุม GBC ข้อ 13. ให้จัดการประชุม GBC ในหนึ่งเดือนหลัง 7 ส.ค.68 (สถานที่จะตกลงกันภายหลัง) หรือมิเช่นนั้นการประชุม GBC วิสามัญ จะถูกจัดขึ้นเพื่อเจรจาการหยุดยิง
ทั้งหมดถือ เป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต หากฝั่งกัมพูชา ยังไม่ยอมจบแค่นี้ หรือกรณที่มีการบิดเบือนการใช้กลไกทวิภาคี เนื่องจากจะมีผู้ช่วยทูตทหารจากอาเซียนเข้าร่วมสังเกตการณ์อยู่ด้วย
อย่างไรก็ตาม จากการประมวลข้อเจรจาทั้งหมดจากหน่วยงานด้านความมั่นคง ยังไม่พบว่ามี ข้อใดที่ไทยตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยเฉพาะข้อการยุติการใช้อาวุธ และการวางกำลังในที่ตั้งปัจจุบัน ตั้งแต่เวลา 24.00 น.วันที่ 28 ก.ค. 2568
ดังนั้น สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากนี้คือ ทุกองคาพยพความเคลื่อนไหวของทางฝั่งกัมพูชาว่าจะสามารถปฏิบัติตามข้อตกลงทั้งหมดได้หรือไม่
อ่านข่าว : "โดรน" ควบคุมระยะไกล ปริศนา? ตกค้าง ฝึกร่วม Golden Dragon
"สะเทือนภูมิภาค" Air-Land Battle Gripen โต้ใต้สิทธิป้องตนเอง
ตาควาย "แดนสังหาร" ถอยตั้งรับ "ปรับยุทธวิธีรบ" รับมือ กัมพูชา