วันที่ 25 ส.ค. 2568 นี้ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) จะบินลัดฟ้าไปลงนามสัญญากับบริษัท Saab ประเทศสวีเดน หลังคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติอนุมัติ โครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตี Gripen E/F ระยะที่ 1 จำนวน 4 เครื่อง วงเงินรวม 19,500 ล้านบาท เพื่อทดแทนเครื่อง Saab JAS 39 Gripen โดยมีรัฐมนตรีกลาโหมสวีเดนเข้าร่วมเป็นสักขีพยาน
แม้ก่อนหน้านี้ ฮุน เซน จะโพสต์ข้อความไม่อยากให้ไทยใช้ F-16 ในการปฏิบัติการ และขอร้องนานาชาติไม่ให้ขายเครื่อง บินรบให้กับไทยก็ตาม แต่เพื่อเสริมเขี้ยวเล็บและความแข็งแกร่ง ดำรงความสามารถในการรักษาเขตอธิปไตยเหนือน่านฟ้าตามขั้นตอนและกติกาสากลของสหประชาชาติ และเพื่อความมั่นคงของประเทศ ไทยจึงเดินหน้าเตรียมพร้อมทุกด้าน
ข้อมูลจากกองทัพอากาศ ระบุว่า ปัจจุบันพบว่าเครื่องบินขับไล่แบบ F-16 ที่ประจำการ ณ กองบิน 1 มีอายุการใช้งานกว่า 37 ปี มีขีดความสามารถจำกัด และระหว่างปี 2571-2578 จะมีแผนทยอยปลดประจำการ ทำให้เหลือเครื่องบินขับไล่โจมตีหลักเพียง 2 ฝูงบิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อความพร้อมและขีดความสามารถการป้องกันประเทศ ดังนั้นจึงวางแผนจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทด แทน ให้สอดคล้องกับแผนการปลดประจำการ

โดยวางแผนจัดหาเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน จำนวน 12 เครื่อง ในระยะเวลา 10 ปี เข้าทดแทนระยะที่ 1 (ปี 2568 - 2572) เป็นเครื่องบินขับไล่โจมตีทดแทน F-16 จำนวน 4 เครื่อง พร้อมอุปกรณ์ อะไหล่ ระบบสนับสนุนการฝึก การฝึกอบรม และอุปกรณ์อื่น ๆ ที่จำเป็น เพื่อรองรับภารกิจการบินรบในอากาศ การโจมตีทางอากาศ และใช้งานร่วมกับระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีของกองทัพอากาศ เพื่อบูรณาการร่วมกับเหล่าทัพอื่น ในการป้องกันประเทศและรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ
ปฏิเสธไม่ได้ว่า เหตุการณ์ความขัดแย้งชายแดนไทย–กัมพูชา ในพื้นที่ 4 จังหวัด ศรีษะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี ถือเป็นครั้งแรกที่กองทัพไทย ทั้งภาคพื้นราบและอากาศ ได้ใช้เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง JAS-39 Gripen เปิดปฏิบัติการจริงครั้งแรกเหนือน่านฟ้า ทำลายฐานทหารกัมพูชา และสกัดกั้นการยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ไม่ให้เข้ามาทำลาย ชีวิตและบ้านเรือน ประชาชน
ปฏิบัติการเหนือน่านฟ้าในครั้งนี้ ทำให้หลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่มอาเซียน และยุโรปต้องกลับมามองยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของไทยอีกครั้งที่ทำได้แบบครบเครื่องไปพร้อม ๆ กัน ทั้ง 3 เหล่าทัพ ภาคพื้นดิน น้ำและอากาศ

น.อ.รัตนสุทธิ สุทธิแย้ม เสนอบทวิเคราะห์เชิงยุทธศาสตร์ Gripen ในสมรภูมิไทย–กัมพูชา: เมื่อการใช้กำลังทางอากาศอย่างยับยั้งชั่งใจ สะเทือนไปถึงระเบียงการเมืองยุโรป ในเพจ “นภาธิปัตย์” ตอนหนึ่งว่า การใช้ เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงและก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมในระดับระหว่างประเทศ ต่อรัฐบาลสวีเดน ผู้ผลิตอาวุธที่กำลังเผชิญแรงกดดันจากภาคประชาสังคมและกลุ่มสิทธิมนุษยชนในยุโรป
แม้การใช้กำลังทางอากาศจะถูกวิจารณ์จากบางภาคส่วนในต่างประเทศ แต่ข้อเท็จจริงสำคัญ คือ กองทัพอากาศไทยได้ปฏิบัติการอย่างมีความยับยั้งชั่งใจ โดยคำนึงถึงหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด ทั้งการเลือกเป้าหมาย การใช้กำลังแบบพอเหมาะพอควร (Proportionality) และการลดผลกระทบต่อพลเรือนให้น้อยที่สุด
การโจมตีทางอากาศ ของกองทัพอากาศไทย ถูกออกแบบอย่างจำกัด (Limited Precision Strikes) และดำเนินการเฉพาะต่อ เป้าหมายทางทหารที่ชัดเจน เช่น ที่ตั้งทางยุทธวิธีของฝ่ายตรงข้าม ที่เป็นต้นเหตุของการโจมตีพลเรือนไทยซ้ำซาก
การเลือกใช้อากาศยาน Gripen ซึ่งมีระบบตรวจจับและชี้เป้าหมายด้วยความแม่นยำสูง ยังสะท้อนถึงความพยายามในการลดความเสียหายพลอยได้ (Collateral Damage) ตามมาตรา 51 ของ Additional Protocol I ตามอนุสัญญาเจนีวา
น.อ.รัตนสุทธิ ระบุว่า การใช้อำนาจทางอากาศของไทยในครั้งนี้ สามารถตีความได้ในกรอบของ “Coercive Air Power” โดยเฉพาะแนวทาง “Denial Strategy” ที่มุ่งทำลายศักยภาพของฝ่ายตรงข้ามในการดำเนินยุทธการเพิ่มเติม โดยไม่จำเป็นต้องใช้อำนาจแบบทำลายล้าง
ตามหลักทฤษฎีของ Pape (1996) การบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองผ่านอากาศยานโจมตีที่เลือกเป้าหมายอย่างรัดกุม จะช่วยหลีกเลี่ยงการทำให้สถานการณ์ลุกลามเกินควบคุม และยังสร้าง “ต้นทุนทางจิตวิทยา” แก่อีกฝ่าย ซึ่งตรงกับพฤติกรรมของไทยในสถานการณ์ปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม แม้ปฏิบัติการของกองทัพอากาศไทย จะดำเนินไป โดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ แต่แรงสั่นสะเทือนทางการเมืองกลับไปตกที่สวีเดน—ผู้ผลิต Gripen ที่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายควบคุมการส่งออกอาวุธอย่างเข้มงวด
กฎหมาย Military Equipment Act (1992:1300) ของสวีเดน กำหนดให้การส่งออกอาวุธต้องคำนึงถึงสถาน การณ์สิทธิมนุษยชนและการใช้ในความขัดแย้งอย่างโปร่งใส ทำให้สื่อยุโรปตีความว่า รัฐบาลสวีเดนตกอยู่ในสภาพ “กลืนไม่เข้าคายไม่ออก” (Policy Dilemma) ระหว่าง หลักมนุษยธรรม (Liberalism) กับ ผลประ โยชน์แห่งรัฐ (Realism)

น.อ.รัตนสุทธิ ยังวิเคราะในแง่มิติยุทธศาสตร์ระดับโลก: กรณีศึกษาของการควบคุมการใช้อาวุธหลังการขายว่า กรณีนี้กลายเป็นตัวอย่างร่วมสมัยของแนวโน้มที่ประเทศผู้ผลิตอาวุธเริ่มถูกกดดันให้แสดง “ความรับผิดชอบต่อการใช้อาวุธหลังการส่งออก” (Post-export End-use Accountability) โดยเฉพาะในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับ Human Security และ Good Governance มากขึ้น
องค์กรอย่าง SIPRI และ Amnesty International เสนอให้มี “กลไกตรวจสอบการใช้งานหลังการส่งมอบ” (Post-shipment Verification Mechanism) ซึ่งจะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในอุตสาหกรรมความมั่นคงระหว่างประเทศ และอาจส่งผลต่อข้อตกลงการจัดหาอาวุธของไทยในอนาคต
ดังนั้น น.อ.รัตนสุทธิ จึงเสนอ 2 เชิงยุทธศาสตร์ สำหรับประเทศผู้ซื้อ -ผู้ค้าและประชาคมระหว่างประเทศ คือ เสนอให้ไทยกลุ่มจัดทำเอกสารชี้แจง (White Paper) แสดงความโปร่งใสในการใช้อากาศยานรบตามหลักกฎหมายมนุษยธรรม
ขณะที่กลุ่มสวีเดน ในฐานะผู้ค้าต้องสร้างแนวทางความร่วมมือด้าน “การตรวจสอบร่วม” กับประเทศผู้ซื้อ เพื่อรักษาภาพลักษณ์ ส่วนกลุ่มประชาคมระหว่างประเทศ ก็ต้องส่งเสริมกรอบการเจรจาเพื่อสร้างมาตรฐาน End-use Monitoring ร่วมกันระดับภูมิภาค
เนื่องจากปฏิบัติการ Gripen ไทยคือ แบบจำลองของการใช้อำนาจทางอากาศอย่างชาญฉลาดและระมัดระวัง (Air Power with Restraint) และการนำ Gripen เข้าสู่สนามรบจริงของกองทัพอากาศไทย ไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าเชิงยุทโธปกรณ์ แต่ยังเป็นกรณีศึกษาสำคัญของ การใช้อำนาจทางทหารอย่างยับยั้งชั่งใจ (Restrained Use of Force) ตามหลักสากล
ภายใต้สถานการณ์ที่เสี่ยงต่อการลุกลาม การปฏิบัติการของไทย ซึ่งจำกัดเป้าหมายอย่างเคร่งครัดและดำเนินการด้วยความรับผิดชอบตามกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law : IHL) จึงควรรับรู้ในเชิงบวกมากกว่า การตกเป็นเหยื่อของการตีความด้านเดียว โดยไม่พิจารณาข้อเท็จจริงทางยุทธศาสตร์และกฎหมาย
อ่านข่าว : "สะเทือนภูมิภาค" Air-Land Battle Gripen โต้ใต้สิทธิป้องตนเอง
"โดรน" ควบคุมระยะไกล ปริศนา? ตกค้าง ฝึกร่วม Golden Dragon
ตาควาย "แดนสังหาร" ถอยตั้งรับ "ปรับยุทธวิธีรบ" รับมือ กัมพูชา