การแข่งแสดงพลังของ 2 ฝ่าย พรรคเพื่อไทย ที่ชูนายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกฯ กับพรรคภูมิใจไทย ที่ชูนายอนุทิน ชาญววีรกุล ก็เริ่มขึ้นให้เห็นอย่างเปิดเผย
แม้ความจริง เชื่อว่าต่างฝ่ายต่างขับเคลื่อนเตรียมการก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ว่าจะการโพสต์ภาพกับนายสารัชถ์ รัตนาวะดี เจ้าสัวกัลฟ์ ยักษ์ใหญ่พลังงาน และภาพกินข้าวหน้าไก่กับ “ลุงป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไม่นับรวมการเปิดภาพนายนิพนธ์ บุญญามณี แกนนำคนเก่าคนแก่แห่งพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเฟรมนายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ขุนพลภาคใต้ พรรคภูมิใจไทย
ขณะที่ขั้วพรรคเพื่อไทย นอกจากแจ้งหมาย น.ส.แพทองธาร จะเข้าทำเนียบ รับฟังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ กับรัฐมนตรีของพรรคแล้ว ยังได้เห็นการเดินทางเข้าทำเนียบของแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล ทันทีที่คำวินิจฉัยเสร็จสิ้นลง
แต่ไร้เงาแกนนำจากพรรคกล้าธรรม ที่ก่อนหน้านี้ถูกเมินจากตำแหน่งรองประธานสภาฯที่พรรคเพื่อไทย กินรวบไม่แบ่ง
ขณะที่นายสันติ พร้อมพัฒน์ แกนนำพรรคพลังประชารัฐ ไปปรากฏตัวที่พรรคภูมิใจไทย เช่นเดียวกับนายสุชาติ ชมกลิ่น แกนนำกลุ่ม 16 จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ในอีก 1 ปีก และนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ ที่อ้าง สส.พรรคเล็ก 4 คนพร้อมหนุนนายอนุทินเป็นนายกฯ
แม้พรรคประชาชน จะแถลงจุดยืนพร้อมหนุนพรรคที่รับเงื่อนไข 3 ข้อของพรรคเป็นรัฐบาล โดยยืนยันไม่รับตำแหน่งใน ครม. และหนึ่งในนั้น คือเป็นรัฐบาลเพียง 4 เดือนต้องยุบสภา เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง
แม้จะถูกวิพากษ์ว่าเป็นช่วงเวลาที่สั้นไป รัฐบาลจะทำอะไรไม่ได้ เท่ากับขีดกรงขังตัวเอง และยังพลอยทำให้พรรคภูมิใจไทยเสียเปรียบขั้วพรรคเพื่อไทยมากขึ้น เมื่อพิจารณาจากเงื่อนไข
แต่นั่นเป็นเพียงในทางทฤษฎี คือกรอบเวลา 4 เดือนรัฐบาลคงทำอะไรไม่ได้มาก จึงเป็นการบีบกลายๆ ให้เข้าสู่โหมดเลือกตั้งให้เร็วขึ้น เพื่อพรรคประชาชนจะได้อานิสงส์จากคะแนนนิยมที่ยังสูงอันดับหนึ่งจากโพลสำรวจ
ในทางปฏิบัติอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะเวลา 4 เดือนต้องยุบสภานั้น ไม่นับรวมช่วงเวลานอก ก่อนถึงวันแถลงนโยบายที่สามาถเตรียมการอะไรล่วงหน้าได้เป็นเดือน และอาจมีทดเวลาหรือประวิงเวลาได้อีก โดยเฉพาะ หาก 1 ใน 3 เรื่องที่นายอนุทินไปเจรจารับเงื่อนไขกับพรรคประชาชน คือแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา หากยังไม่สะเด็ดน้ำดี และจำเป็นต้องเร่งดำเนินการ
ที่สำคัญอย่างยิ่งยวด คือเมื่อพรรคประชาชน ย้ำชัดไม่รับตำแหน่งใด ๆ ในครม. ที่มีรวม 35+1 คน เท่ากับโอกาสของพรรคและกลุ่มการเมืองต่าง ๆ แม้กระทั่ง สส.งูเห่าหากรวมตัวเป็นกลุ่มก้อนได้ การได้รับจัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรี และตำแหน่งทางการเมือง จะได้รับมากกว่าไปร่วมกับขั้วเพื่อไทย หรือกลุ่มรัฐบาลเดิม
ขณะที่การได้เป็นนายกฯ จากเสียงโหวตในสภา ถือเป็นนายกฯ เต็มตัว เหมือนกับนายกฯคนอื่น ๆ ไม่ใช่เพียงนายกรักษาการ มีอำนาจเต็มที่ในมือ สามารถสั่งการขับเคลื่อนอะไรได้หมด โดยงบปี 69 ก็จ่อคิวจะผ่านวุฒิสภาในการประชุมต้นเดือนกันยายนนี้แล้ว เท่ากับมีเงินงบประมาณพร้อม
ยังจะมีอำนาจการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการอีกหลายกระทรวง ที่ยังค้างคาอยู่เพื่อจัดวางคนใหม่ ชิงความได้เปรียบ และอีกหลายเรื่องที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยหวังเร่งทำ แต่ยังค้างอยู่ เช่นเรื่องเพิกถอนที่ดินเขากระโดง
ยังไม่นับการเป็นรัฐบาลรักษาการ ในช่วงการเลือกตั้ง สส. ถือได้ว่ามีแต้มต่ออยู่ในมือ มากกว่าฝ่ายค้านเห็นๆ
ทั้งการแย่งชิงตั้งรัฐบาลระหว่าง 2 ฝ่ายครั้งนี้ ยังมีความหมายพิสูจน์ศักยภาพและบารมีในทางการเมือง ของ 2 คนใหญ่ “นายใหญ่” กับ “ครูใหญ่” อย่างชัดเจนว่า ขณะนี้ ใครเหนือใคร
จึงได้เห็นการเดินหน้าเต็มที่ของนายอนุทินและพรรคภูมิใจไทย กระทั่งมีภาพจับมือประกาศตั้งรัฐบาล 280 เสียงช่วงกลางดึกที่ผ่านมา
ขณะที่ฝั่งเพื่อไทย ยังคงไม่ยอมแพ้ ประกาศยังเป็นรัฐบาล และขู่ฟ่อดเรื่อง สส.งูเห่าจากพรรคเพื่อไทย ที่จะไปหนุนนายอนุทิน ทั้งที่สามารถอ้างเอกสิทธิ์ สส.เรื่องโหวตเสียงได้อย่างอิสระตามรัฐธรรมนูญ
หากไม่มีอะไรพลิกผัน หรือเกิดปาฏิหาริย์ทางการเมืองใด ๆ เกิดขึ้น จนเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อจำนวนเสียง สส. 280 เสียงที่หนุนหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่เมื่อคืน
ชัยชนะจะเป็นของ “เสี่ยหนู” และพรรคภูมิใจไทย ขณะที่พรรคเพื่อไทย และ “นายใหญ่” จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แบบหมดฟอร์ม
ยกเว้นแต่จะมี “ไม้เด็ด” อื่นออกมา
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : “เพื่อไทย” รับข้อเสนอ “พรรคประชาชน” ตั้งรัฐบาล เดินหน้าจัดการ “คดีเขากระโดง-ฮั้ว สว.”