นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมการบรหารจัดการน้ำและอุทกภัยหรือ กบอ. กล่าวว่า ยังไม่ทราบกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นถอดถอน ครม.ทั้งคณะกรณีอนุมัติให้ประมูลโครงการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ให้ 4 กลุ่มธุรกิจเอกชน ซึ่งยินดีให้ตรวจสอบทุกขั้นตอน แต่ยังมองไม่ออกว่าจะสามารถถอดถอนรัฐบาลได้อย่างไร
ซึ่งที่ประชุมพรรคประชาธิปัตย์เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.) นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี โฆษกคณะรัฐมนตรีเงา เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นว่าโครงการดังกล่าวส่อฮั้วระหว่างผู้ประกอบการรายใหญ่ เนื่องจากมีผู้เข้าประมูลจำกัดมีรายใหญ่ไม่กี่ราย นอกจากนี้ยังไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ราคากลางตามคำแนะนำของ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. และไม่ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญมาตรา 67 วรรค 2 ที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน
ซึ่งขณะนี้ได้ร่างหนังสือเตรียมถอดถอนแล้วอยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อ ส.ส. ไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด หรืออย่างน้อย 125 คน เพื่อเสนอต่อประธานวุฒิสภา และพิจารณาส่งต่อให้ป.ป.ช. ต่อไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 271 โดยคาดว่าจะยื่นได้ภายในสัปดาห์นี้ รวมทั้งจะเชื่อมโยงต่อไปถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจในการเปิดประชุมสภาสมัยหน้าด้วย
ขณะที่การประชุมคณะกรรมาธิการการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายชนินทร์ รุ่งแสง ส.ส. กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เป็นประธานกมธ. เมื่อวานนี้ (19 มิ.ย.) ได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการดำเนินการโครงการบริหารจัดการน้ำตามพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตประเทศ พ.ศ.2555 วงเงิน 3.5 แสนล้านบาท
โดยนายสุพจน์ โตวิจักษณ์ชัยกุล เลขาธิการสำนักงานนโยบายและบริหารจัดการน้ำและอุทกภัยแห่งชาติ (สบอช.) กล่าวว่า ขณะนี้ได้คัดเลือกเอกชนที่จะมาดำเนินการก่อสร้างโครงการเหลือทั้งหมด 4 บริษัทสุดท้าย โดยสามารถเจรจาในเรื่องราคาอีกก่อนที่จะมีการเซ็นสัญญาในวันที่ 30 กันยายน ส่วนข้อกังวลที่ระบุว่าจะไม่สามารถดำเนินการโครงการทันวันที่ 30 มิถุนายน ตามกำหนดวันสิ้นสุดอายุพ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้านบาทนั้น ยืนยันว่าเมื่อกระทรวงการคลังได้ทำสัญญาเงินกู้ก่อนวันที่ 30 มิ.ย.โครงการก็สามารถเบิกจ่ายงบประมาณหลังจากวันดังกล่าวได้
นายสุทธินันท์ สาริมาน ผู้อำนวยการสำนักมาตรการป้องกันการทุจริต สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่ร่วมประชุม ได้ตั้งข้อสังเกตถึงกรณีที่ ครม. มีมติอนุมัติแผนการกู้เงินตาม พ.ร.ก.กู้เงิน เพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำ วงเงิน 3.14 แสนล้านบาท ว่า ตามหลักการจำเป็นต้องมีคนอนุมัติ, คนลงนามรับราคาและทำสัญญา ซึ่งหลัง ครม.อนุมัติหลักการกู้เงินไปแล้วใครจะเป็นผู้ลงนาม นอกจากนี้ยังเป็นห่วงเรื่องของสัญญาที่มีการรวมเป็นสัญญาเดียว จึงอยากเสนอแนะให้มีการแยกสัญญา ไม่เช่นนั้นอาจประสบปัญหาเช่นเดียวกับการสร้างโรงพักทดแทน