วันนี้ (19 ก.พ.2564) นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล อภิปรายเป็นคนแรกของวันนี้ โดยขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี เรื่องปฏิบัติการทางข้อมูลข่าวสาร หรือ ไอโอ ว่า นายกรัฐมนตรีก่ออาชญากรรมทางไซเบอร์ เผยแพร่ข่าวปลอม, จงใจปล่อยให้มีการใช้งบฯ แผ่นดินและบุคลากรภาครัฐ ทำงานสร้างความเกลียดชัง โจมตีฝ่ายค้านและประชาชน, มีพฤติกรรมโกหกซ้ำซาก ปฏิเสธไม่มีปฏิบัติการไอโอ และไม่ตอบสนองการตรวจสอบ
เชื่อว่า นายกฯ รู้อยู่แก่ใจ ว่าทำอะไรลงไป แม้ที่ผ่านมาจะไม่เคยยอมรับว่ามี "ไอโอ" แต่การอภิปรายครั้งที่ผ่านมา กลับแจ็กพอตแตก เพราะ ส.ส.วิโรจน์ พรรคก้าวไกล ออกมาทลายแก๊งไอโอกลางสภาฯ โดยมีหลักฐานชัดเจน
เปิดคลิปประชุมก่อนยุบพรรคอนาคตใหม่
จากนั้น นายณัฐชา เปิดหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอ ประชุมผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ของการประชุม มณฑลทหารบกที่ 21 (มทบ.21) พร้อมถามนายกฯ ว่า จะบอกอีกหรือไม่ว่า ทหารไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และไม่มีปฏิบัติการไอโอ รวมถึงปฏิบัติการลับต่างๆ
การประชุมครั้งนั้น มีขึ้น 2 วัน ห้วงเวลาแรกเป็นการประชุม เพื่อสั่งการให้โจมตีฝ่ายตรงข้าม ขณะคลิปวิดีโอตอนท้าย เป็นการประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.พ.2563 ซึ่งเป็น 4 วันก่อนการยุบพรรคอนาคตใหม่ ในวันที่ 21 ก.พ.2563
ในคลิปมีการสั่งการชัดเจนว่า จะมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ ให้ทุกหน่วยเตรียมตัว
นายณัฐชากล่าวว่า ผู้ที่สั่งการมีความกังวลว่า เอกสารจะหลุดไปถึงสื่อมวลชน โดยเฉพาะเอกสารการเงิน ทั้งนี้เนื่องจากปฏิบัติการทั้งหมดล้วนมาจากเงินภาษีของประชาชน เอาเงินงบประมาณแผ่นดินมาปฏิบัติภารกิจเพื่อโจมตีฝ่ายตรงข้าม คือ พรรคการเมืองและประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาล ใช่หรือไม่
ทหารรู้ดีว่า ถ้ากำหนดศัตรูผิดตัว ก็น่าจะมีแต่ความพ่ายแพ้ แต่ท่านกลับกำหนดศัตรูที่ไม่มีอยู่จริง เฝ้าโจมตีอยู่แต่กับประชาชน ซึ่งที่กล่าวมาทั้งหมดคือปฏิบัติการไอโอของกองทัพ 100 %
นายณัฐชาระบุว่า ไม่กี่เดือนที่ผ่านมามีเอกสารฉาวอีกครั้ง ซึ่งเป็นเอกสารว่าด้วยการทำไอโอผ่านการอบรมหลักสูตรหนึ่ง มีกลไกการทำงานแบ่งเป็นทีม ขาว-ดำ เพื่อมุ่งโจมตีฝ่ายตรงข้าม มีการสั่งการผ่าน 2 แอปพลิเคชัน โดยให้หน่วยงานเอกชนผลิตแอปพลิเคชันให้
นายณัฐชากล่าวต่อว่า 2 แอปพลิเคชันดังกล่าว ใช้ในระดับผู้บังคับบัญชา เพราะหากเป็นไลน์กลุ่มแบบครั้งก่อน อาจโดนทลายได้ แบบที่ ส.ส.วิโรจน์ นำมาเปิดในสภาฯ ส่วนระดับปฏิบัติการยังใช้ไลน์กรุ๊ป แต่มีการเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น
กองทัพยอมรับว่า เป็นเอกสารจริง แต่ปฏิเสธว่า ไม่ได้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร โดยทำเพื่ออบรมการสื่อสารการประชาสัมพันธ์กองทัพ นายณัฐชาจึงตั้งข้อสังเกตว่า เป็นการประชาสัมพันธ์แบบไหนที่มีฝ่ายขาว-ดำ และเอ่ยชื่อเพจฝ่ายตรงข้าม
เปิดหลักฐาน “นายพล” สั่งปฏิบัติการไอโอทางไลน์
นอกจากนี้ นายณัฐชา ยังเปิดหลักฐานว่า เป็นการสั่งการผ่านแอปพลิเคชันไลน์ โดยนายพลคนหนึ่งที่สั่งการไปยังผู้ปฏิบัติการให้ใช้ไอโอเสมือนไปรวมม็อบ และชี้ให้เห็นว่า ม็อบมีความรุนแรง และกล่าวหา "ปวิน" ว่ามีพฤติกรรมรักร่วมเพศ เป็นต้น โดยสั่งการให้โพสต์ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งต่อวัน
รมช.กลาโหม โต้ รมว.กลาโหมไม่เคยสั่งทำไอโอ
จากนั้น พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ลุกชี้แจงการอภิปรายไม่ไว้วางใจของนายณัฐชา กรณีปฏิบัติการไอโอ เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะ รมว.กลาโหม ยังไม่เข้าประชุมว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ไม่เคยมีคำสั่งให้ทหารหรือหน่วยงานใด ๆ ปฏิบัติการให้ร้ายแต่อย่างใด
สถานการณ์ปัจจุบันในสื่อสังคมออนไลน์มีการเผย่แพร่ข้อความอันเป็นเท็จและสร้างผลกระทบต่อสถาบันฯ ความสงบเรียบร้อย และความมั่นคงเป็นจำนวนมากและมีมากขึ้น
พล.อ.ชัยชาญกล่าวต่อว่า การกล่าวว่า ทหารกล่าวให้ร้ายประชาชน ทหารก็คือประชาชน สิ่งที่กองทัพทำคือ ทำให้ทหารเรียนรู้ เข้าใจถึงการพัฒนาทางเทคโนโลยี ติดตามสื่ออย่างเท่าทันว่า ถูกต้องและจริงหรือไม่ การจะส่งต่อข้อมูลต้องใช้วิจารณญาณ เพราะมีผลกระทบจึงมีการอบรมให้ความรู้กำลังพล
บัญชีในสื่อสังคมออนไลน์ เปิดเผย ไม่ได้ปิด ไม่ได้จะทำเพื่อให้ร้ายใครแต่อย่างใด ท่านกล่าวเหมือนว่า มีความชำนาญมากกว่ากองทัพ การที่ระบุฝ่ายขาวฝ่ายดำเป็นเพียงการเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติ การสร้างความเข้าใจ มิใช่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นประชาชนทั่วไป
รมช.กลาโหมกล่าวว่า โครงการจิตอาสาพระราชทาน ก็แสดงตัวชัดเจน เพื่อประชาสัมพันธ์ประวัติศาสตร์ สถาบันฯ การดำเนินการพัฒนาด้านต่าง ๆ ให้ความรู้ ให้ประชาชนทราบถึงภารกิจและสิ่งที่กองทัพทำ
กรณีวิดีทัศน์ที่เผยแพร่ ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นอย่างไร แต่สำคัญคือจะทำอย่างไรให้สังคมอยู่ร่วมกันได้ กรณีศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี (PMOC) เป็นข้อมูลอีกด้านที่ต้องการให้ประชาชนได้เห็นและสื่อต่าง ๆ ก็มีลักษณะเช่นนี้เช่นกัน
พล.อ.ชัยชาญกล่าวย้ำว่า นายกฯไม่มีนโยบายสั่งการให้หน่วยต่าง ๆโดยเฉพาะกองทัพไปใส่ร้ายประชาชน และให้เกิดความเกลียดชัง แตกแยก สิ่งที่ทำเพื่อต้องการให้ประชาชนรับทราบผลงาน อย่างถูกต้อง ให้เกิดความสงบเรียบร้อยและไม่แตกแยก