วันนี้ (6 ส.ค.2564) นพ.ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข แถลงข่าวการบริหารจัดการนำผู้ติดเชื้อกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนาว่า หลังจากประกาศมาตรการล็อกดาวน์ทำให้มีประชาชนเดินทางออกจาก กทม.และปริมณฑลกลับสู่ภูมิลำเนาจำนวนมาก และมีผู้ติดเชื้อเดินทางกลับไปด้วย
จากข้อมูลของทั้ง 12 เขตสุขภาพ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.- 4 ส.ค.นี้ มีผู้ติดเชื้อโควิด 19 กลับต่างจังหวัด และเข้าระบบการดูแลรักษาแล้ว 94,664 คน โดยมากกว่าครึ่งอยู่ในพื้นที่ภาคอีสานในเขตสุขภาพที่ 7-10 รวมจำนวน 53,879 คน รองลงมาคือภาคเหนือ ภาคกลางและตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็น 12 เขตสุขภาพดังนี้

- เขตสุขภาพที่ 1 จำนวน 4,447 คน (ภาคเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 2 จำนวน 5,125 คน (ภาคเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 3 จำนวน 7,515 คน (ภาคเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 4 จำนวน 4,711 คน (ภาคกลาง)
- เขตสุขภาพที่ 5 จำนวน 7,871 คน (ภาคกลาง)
- เขตสุขภาพที่ 6 จำนวน 8,691 คน (ภาคตะวันออก)
- เขตสุขภาพที่ 7 จำนวน 13,022 คน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 8 จำนวน 13,761 คน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 9 จำนวน 17,293 คน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 10 จำนวน 9,821 คน (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ)
- เขตสุขภาพที่ 11 จำนวน 1,424 คน (ภาคใต้ตอนบน)
- เขตสุขภาพที่ 12 จำนวน 938 คน (ภาคใต้ตอนล่าง)
ช่วงแรกส่วนใหญ่ผู้ป่วยเดินทางกลับด้วยตนเอง มีทั้งติดต่อโรงพยาบาลปลายทางและไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นความเสี่ยงแพร่เชื้อระหว่างเดินทางและในพื้นที่ ทำให้หลายจังหวัดมีการจัดทำโครงการรับผู้ติดเชื้อกลับบ้าน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นจัดยานพาหนะรับส่ง

คาด 2 สัปดาห์พีคสูงสุด
นพ.ธงชัย กล่าวว่า ขณะที่ภาครัฐ มีนโยบายให้กระทรวงสาธารณสุข ร่วมกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) กระทรวงคมนาคม และกระทรวงมหาดไทย จัดบริการรับผู้ติดเชื้อกลับบ้านอย่างปลอดภัยเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่ชุมชน
เมื่อเดินทางถึงจุดนัดที่ภูมิลำเนา จะมีเจ้าหน้าที่ประเมินอาการผู้ป่วยอีกครั้งเพื่อแยกอาการ โดยผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสีเขียวที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อย รักษาได้ทั้งในโรงพยาบาลสนาม ที่บ้านและชุมชน ซึ่งขณะนี้ในต่างจังหวัดมีการเปิดโรงพยาบามสนามรองรับมากขึ้น
ส่วนกลุ่มสีเหลือง อาการปานกลาง พิจารณารักษาในโรงพยาบาลชุมชน บางจังหวัดที่มีการติดเชื้อมากได้จัดเป็นโรงพยาบาลโควิดโดยเฉพาะ และกลุ่มสีแดง มีอาการรุนแรง มีอาการเหนื่อย ระดับออกซิเจนในเลือดลดลง รักษาในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป ที่ผ่านมามีการเพิ่มเตียงไอซียูรองรับแล้ว และมีระบบการส่งต่อผู้ป่วยภายในเขตสุขภาพ
คาดว่าในอีก 2 สัปดาห์จากการย้ายไปรักษาที่ภูมิลำเนา จะมีจำนวนผู้ป่วยในพื้นที่ต่างจังหวัดสูงขึ้นจนถึงจุดพีคสุด

ปรับทัพทีมแพทย์ช่วยงานโควิด
ขณะนี้บุคลากรทางการแพทย์ในต่างจังหวัดมีภาระงานเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีการจัดทีมเข้ามาช่วยเหลือพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ดูแลผู้ติดเชื้อในพื้นที่ที่โรงพยาบาลบุษราคัม 200-300 คนดูแลคนไข้ 3,000-4,000 คนและดูแลผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับมารักษา
ตั้งแต่เดือนส.ค.นี้จะเร่งรัดการฉีดวัคซีนในกลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป โรคประจำตัวเรื้อรัง 7 กลุ่มโรค และหญิงตั้งครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไปเพื่อลดอัตราการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต
ทุกจังหวัดทั่วไทยมีคนติดเชื้อสูงทั้งในพื้นที่และการรับผู้ป่วยกลับบ้านมารักษา ทำให้ภาระในการดูแลมีมากขึ้น และยังมีการส่งแพทย์เข้ามาดูแลในกทม.ปริมณฑล

หมอแล็บ ชี้รอหมอระบบ HI นานสุด 7-8 วัน
เพจเฟซบุ๊กหมอแล็บแพนด้า ของ ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ หัวหน้างานตรวจโรคติดเชื้อทางโลหิตวิธีอณูชีววิทยาศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โพสต์ข้อความว่า
ผมเริ่มอายที่จะบอกให้ผู้ติดเชื้อทำ Home isolation แล้ว เพราะตอนนี้ผู้ติดเชื้อเยอะ จนเจ้าหน้าที่ดูแลไม่ทั่วถึงจริงๆ บางคนก็ไม่ได้รับการติดต่อใดๆ ทั้งที่ลงทะเบียนเข้าระบบแล้ว บางทีพอเจ้าหน้าที่ติดต่อมาก็ปาเข้าไป 7-8 วันแล้ว ไม่ทันการณ์ครับ
นอกจากนี้ หมอแล็บ ยังระบุอีกว่า หายเองที่บ้านก็เยอะ โดยที่ไม่มีอุปกรณ์อะไรมาแจกอย่างเขาว่า เสียชีวิตคาบ้านก็มีให้เห็นตามข่าวทุกวัน ดังนั้นช่วงนี้ช่วยกันบอกผู้สูงอายุที่บ้าน อย่าให้เดินไปพบปะใคร ถ้าติดเชื้อมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก
ส่วนพวกเราที่ออกไปทำงานรับเชื้อนอกบ้านก็ให้อยู่ห่างท่านไว้ หรือถ้าห่างกันได้ยากก็สวมแมสก์ในบ้านนะครับ เอาคนในครอบครัวเราให้รอดไว้ก่อน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ไทยติดโควิดรายวันเพิ่ม 21,379 คน เสียชีวิต 191 คน