ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

กินหวานเสี่ยงเบาหวาน! ภัยเงียบ น้ำตาลในเลือดสูงทำลายไต-หัวใจ

ไลฟ์สไตล์
17:27
623
กินหวานเสี่ยงเบาหวาน! ภัยเงียบ น้ำตาลในเลือดสูงทำลายไต-หัวใจ
อ่านให้ฟัง
06:25อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
คนรักของหวานและแป้งต้องระวัง! การกินอาหารหวานจัด แป้งเยอะ โดยไม่ออกกำลังกาย อาจนำไปสู่ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เสี่ยงเป็นโรคเบาหวานที่ทำลายไต หัวใจ และดวงตาได้ ชวนทุกคนเช็กสุขภาพและเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อห่างไกลจากภัยเงียบที่มากับความอร่อย

ในยุคที่ของหวานและอาหารแป้งขาว กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเตือนว่า ความเพลิดเพลินในการกิน อาจนำไปสู่ "ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง" ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของ "โรคเบาหวาน" โรคเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายอย่างรุนแรง อายุรแพทย์ด้านต่อมไร้ท่อระบุว่า ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเกิน 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ซึ่งอาจพัฒนาเป็นเบาหวานหากไม่ควบคุม โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่ชอบกินหวาน กินแป้ง และไม่ออกกำลังกาย

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เกิดจากอะไร ?

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง คือ สภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเกินปกติ ซึ่งร่างกายต้องใช้น้ำตาลเป็นพลังงานและขนส่งผ่านกระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ สาเหตุหลักมาจาก พันธุกรรม หากพ่อแม่หรือญาติสายตรงเป็นเบาหวาน ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ความอ้วน ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) เกิน 25 ถือว่าอ้วนและมีความเสี่ยงสูง และ พฤติกรรมการใช้ชีวิต การกินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน หรือ อาหารแป้งขาว ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว และการไม่ออกกำลังกาย เป็นตัวเร่งให้ระดับน้ำตาลพุ่งสูง

หากน้ำตาลในเลือดสูงเพียงเล็กน้อย อาจยังไม่มีอาการ แต่เมื่อระดับน้ำตาลสูงมากหรือนานเกินไป จะส่งผลร้ายต่อร่างกาย เช่น 

  • ไตวาย น้ำตาลสูงทำลายไต นำไปสู่ภาวะ "เบาหวานลงไต" ต้องล้างไตตลอดชีวิต
  • ตาพร่า เบาหวานขึ้นตาทำให้มองไม่ชัด หรือร้ายแรงถึงขั้นตาบอด
  • หัวใจและหลอดเลือด เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจและเส้นเลือดในสมองแตก
  • แผลหายช้า โดยเฉพาะที่ขาและเท้า ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดขาในผู้ป่วยเบาหวาน
  • ผู้ที่มีน้ำตาลสูงอาจรู้สึก ชาตามปลายมือปลายเท้า เหมือนมีเข็มทิ่ม เพราะเส้นเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ไม่ดี
ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

รู้ได้ยังไงว่าเป็นเบาหวาน ?

เกณฑ์สำหรับวินิจฉัยโรคเบาหวาน คือ ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหาร หากเกิน 126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ถือว่าเป็นเบาหวาน หากอยู่ระหว่าง 100-126 มิลลิกรัม/เดซิลิตร เป็นภาวะก่อนเบาหวาน และปกติควรต่ำกว่า 100 มิลลิกรัม/เดซิลิตร

การตรวจ HbA1c วัดระดับน้ำตาลสะสมในเลือดย้อนหลัง 3 เดือน ปกติไม่เกินร้อยละ 5.7 หากอยู่ที่ร้อยละ 5.7-6.5 เป็นภาวะก่อนเบาหวาน และเกินร้อยละ 6.5 ถือว่าเป็นเบาหวาน

จริง-ไม่จริง ? อาการไหนเกิดจาก "น้ำตาลในเลือดสูง"

สสส.ชี้แจงอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง บางครั้งมีความใกล้เคียงกับอาการที่เกิดขึ้นทั่วไปในชีวิตประจำวัน 

อาการที่ 1 คอแห้ง หิวน้ำบ่อย
อาการนี้จริง เมื่อร่างกายมีน้ำตาลในเลือดสูง ร่างกายจะสูญเสียน้ำออกมาทางปัสสาวะ คนไข้จะปัสสาวะบ่อย ร่างกายจึงขาดน้ำ ทำให้หิวน้ำบ่อย แต่อาการโดยทั่วไปไม่ได้แตกต่างจากการหิวน้ำปกติ

อาการที่ 2 ขี้โมโห หงุดหงิดง่าย
อาการนี้ไม่จริง โดยปกติแล้วภาวะน้ำตาลในเลือดสูง ไม่ได้ส่งผลต่ออาการขี้โมโหหรือหงุดหงิดง่าย แต่คนที่มีน้ำตาลในเลือดสูง ถือว่าร่างกายไม่ได้อยู่ในภาวะปกติ บางครั้งอาจรู้สึกไม่สบายตัวทำให้หงุดหงิดง่าย สำหรับคนที่กินของหวานแล้วอารมณ์ดีอาจเป็นเพราะการกินอาหารที่ชอบช่วยให้มีความสุข มีอารมณ์ดีขึ้น

อาการที่ 3 ง่วงนอน
อาการนี้ไม่จริง น้ำตาลในเลือดสูงไม่ได้ส่งผลโดยตรงให้รู้สึกง่วงนอนมากขึ้น แต่เมื่อร่างกายมีน้ำตาลสูงจะทำให้อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อยากพักผ่อน

อาการที่ 4 ปัสสาวะบ่อย
อาการนี้จริง เพราะน้ำตาลในเลือดจะไปที่ไต ไตจึงขับปัสสาวะออกมาเยอะ สังเกตได้ง่าย ๆ ว่าหากใครต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน 2-4 ครั้ง อาจเป็นสัญญาณของโรคเบาหวานได้ โดยปกติคนทั่วไปจะลุกมาเข้าห้องน้ำไม่เกิน 1-2 ครั้ง ส่วนจำนวนครั้งของการปัสสาวะต่อวันก็ไม่ได้มีตัวเลขที่แน่นอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำที่ดื่มเข้าไป

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

3 วิธีป้องกันน้ำตาลในเลือดสูง

การป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้นไม่ยาก เพียงเริ่มจากเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้

  • เลี่ยงน้ำตาลเชิงเดี่ยว ลดการกินน้ำหวาน น้ำผลไม้ ขนมหวาน และเลือกผลไม้รสไม่หวานแทน
  • ลดคาร์โบไฮเดรต จำกัดปริมาณข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว และหันมากินข้าวกล้องหรือธัญพืช
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที 5 วัน/สัปดาห์ เช่น เดินเร็ว วิ่ง หรือโยคะ เพื่อควบคุมน้ำหนักและระดับน้ำตาล

หากได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น "เบาหวาน" แล้ว ผู้ป่วยต้องกินยาตามแพทย์สั่งและตรวจติดตามระดับน้ำตาลทุก 3-4 เดือน การปรับพฤติกรรม เช่น ลดของหวานและออกกำลังกาย ช่วยควบคุมโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ การรู้ทันและป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้คุณห่างไกลจากเบาหวานและภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรง

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ที่มา : สสส.

อ่านข่าวอื่น : 

เข้มผู้ประกอบการดำน้ำ ต้องมีผู้คุมนักท่องเที่ยว-ห้ามถ่ายภาพใต้น้ำ

ส่อง "กฎหมายสัตว์เลี้ยง" 10 ชาติอาเซียน ใครคุ้มครองสัตว์ดีสุด ?