ในสังคมพหุวัฒนธรรม การพูดภาษาต่างชาติในที่สาธารณะ เช่น ภาษาสเปนในสหรัฐฯ หรือภาษาโปแลนด์ในอังกฤษ มักถูกมองว่าเป็นทั้งสัญลักษณ์ของความหลากหลายและจุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง Emily Post นักเขียนด้านมารยาทชื่อดังของสหรัฐฯ ผู้ล่วงลับไปแล้ว ระบุว่า
การพูดภาษาที่คนรอบข้างไม่เข้าใจในที่สาธารณะอาจสร้างกำแพงทางสังคม ทำให้คนรู้สึกถูกแยกออกจากบทสนทนา แม้ผู้พูดไม่มีเจตนาร้าย
ตามทฤษฎีบรรทัดฐานทางสังคม (Social Norms) ของ Robert Cialdini การกระทำที่ขัดต่อความคาดหวังของกลุ่ม เช่น การพูดภาษาที่คนอื่นไม่เข้าใจ อาจถูกตีความว่าไม่สุภาพ เพราะสร้างความรู้สึกไม่ไว้วางใจหรือระแวง
Janet Nixon ที่ปรึกษาด้านมารยาทในนิวยอร์ก อธิบายว่า เมื่อผู้ฟังไม่เข้าใจภาษาที่ผู้อื่นพูด สมองมักตีความว่าเป็นภัยคุกคาม หรือสงสัยว่าถูกพูดถึงในแง่ลบ ความรู้สึกนี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในบริบทที่ตึงเครียด เช่น ในชุมชนที่มีความหลากหลายด้านภาษาสูง แต่ขาดความเข้าใจข้ามวัฒนธรรม สถิติจาก Pew Research Center ในปี 2563 ระบุว่า สหรัฐฯ มีผู้อพยพกว่า 40 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 13.7 ของประชากร ทำให้การใช้ภาษาต่างชาติในที่สาธารณะกลายเป็นเรื่องปกติ แต่ก็เพิ่มโอกาสของความเข้าใจผิด

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
กรณีศึกษา "พูดคนละภาษา" ในต่างประเทศ
ในปี 2561 ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในแมนฮัตตัน สหรัฐฯ ลูกค้า 2 คนพูดภาษาสเปนขณะสั่งอาหาร แต่ถูก Aaron Schlossberg ทนายความชาวอเมริกัน ตะโกนต่อว่าด้วยถ้อยคำเหยียดเชื้อชาติ "ที่นี่คืออเมริกา พวกคุณต้องพูดภาษาอังกฤษ!" เหตุการณ์นี้ถูกบันทึกวิดีโอและแพร่กระจายในโซเชียลมีเดีย The New York Times รายงานในเวลาต่อมาว่า ทนายความผู้ตะโกนเสียงดังลั่นร้านอาหารนั้น ถูกวิจารณ์อย่างหนักและถูกระงับใบอนุญาตทนายความชั่วคราว
ในเดือน ต.ค.2562 ผู้โดยสารชาวโปแลนด์ 2 คน บนรถไฟในลอนดอน ถูกผู้โดยสารชาวอังกฤษตำหนิที่พูดภาษาโปแลนด์กันเอง ชาวอังกฤษผู้ตำหนิอ้างว่ารู้สึก "ไม่สบายใจ" เพราะคิดว่าถูกนินทา The Guardian รายงานว่าเหตุการณ์นี้จุดประเด็นถกเถียงในสื่ออังกฤษเกี่ยวกับเสรีภาพในการใช้ภาษาและมารยาทในที่สาธารณะ บางคนมองว่าเป็นการแสดงอคติต่อผู้อพยพจากยุโรปตะวันออกหลัง Brexit
มี.ค.2565 ที่ร้านกาแฟในมอนทรีออล ประเทศแคนาดา พนักงานที่พูดภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษ ถูกกลุ่มลูกค้าต่อว่าที่ใช้ภาษาอังกฤษกับลูกค้าชาวต่างชาติ ลูกค้าบางคนอ้างว่าในรัฐควิเบก ควรใช้ภาษาฝรั่งเศสเท่านั้น เพื่อรักษาวัฒนธรรมท้องถิ่น CBC News รายงานว่าเหตุการณ์นี้จุดถกเถียงเกี่ยวกับมารยาทในพื้นที่ที่มี 2 ภาษาอย่างเป็นทางการ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
แต่เหรียญย่อมมี 2 ด้าน
ฝ่ายที่เห็นว่าไม่ควรพูดภาษาอื่นในที่สาธารณะ อ้างว่าการใช้ภาษาที่คนรอบข้างไม่เข้าใจอาจสร้างความรู้สึกไม่ครอบคลุม โดยเฉพาะในบริบทที่ต้องการความร่วมมือ เช่น การประชุมงานหรือการให้บริการลูกค้า เว็บไซต์ Collage ซึ่งให้คำแนะนำด้านการจัดการทรัพยากรบุคคล ระบุว่า ในที่ทำงาน การพูดภาษาต่างชาติอาจทำให้เพื่อนร่วมงานรู้สึกถูกแยกออกจากวงสนทนา ส่งผลต่อความสัมพันธ์ในทีม นอกจากนี้ ในบริบทสาธารณะ เช่น ร้านอาหาร การพูดภาษาอื่นอาจถูกมองว่าไม่ให้เกียรติพนักงานหรือลูกค้าคนอื่นที่ไม่เข้าใจ
ส่วนฝ่ายที่สนับสนุนการใช้ภาษาต่างชาติ ยืนยันว่าเป็นสิทธิส่วนบุคคลและส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม The Equal Employment Opportunity Commission (EEOC) ของสหรัฐฯ ระบุว่า การห้ามพูดภาษาอื่นในที่ทำงานโดยไม่มีเหตุผลทางธุรกิจที่ชัดเจน อาจละเมิดกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ Alice Foucart นักวิจัยด้านจิตวิทยาการสื่อสารจาก Ghent University กล่าวว่า "ภาษาคือส่วนหนึ่งของตัวตน การห้ามใช้ภาษาแม่ในที่สาธารณะอาจทำให้ผู้อพยพหรือชนกลุ่มน้อยรู้สึกสูญเสียอัตลักษณ์" นอกจากนี้ ในบริบทส่วนตัว เช่น การคุยกับเพื่อนหรือครอบครัว การใช้ภาษาต่างชาติไม่ควรถูกมองว่าผิด

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
มองย้อน อะไรคือสาเหตุแห่งความขัดแย้ง
- ความลำเอียงทางภาษา (Linguistic Bias)
งานวิจัยจาก Horizon Magazine (2019) ชี้ว่า คนมักมีอคติต่อภาษาที่ไม่คุ้นเคย เพราะสมองมนุษย์มีแนวโน้มตีความสิ่งที่ไม่เข้าใจว่าเป็นภัยคุกคาม โดยเฉพาะในสังคมที่มีความตึงเครียดทางเชื้อชาติหรือการเมือง - บริบททางวัฒนธรรม
ในประเทศที่เน้นภาษาเดียว เช่น สหรัฐฯ ที่ประชากรส่วนใหญ่พูดภาษาอังกฤษ หรือในรัฐควิเบก ที่คนส่วนใหญ่ใช้ภาษาฝรั่งเศส การใช้ภาษาอื่นอาจถูกมองว่าเป็นการท้าทายวัฒนธรรมหลัก ในขณะที่ในสังคมพหุภาษา เช่น สวิตเซอร์แลนด์ การใช้หลายภาษาเป็นเรื่องปกติ - การขาดความฉลาดทางวัฒนธรรม (Cultural Intelligence)
Dr. Foucart ระบุว่า ความเข้าใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมยังขาดแคลนในหลายสังคม ทำให้เกิดการตีความเจตนาของผู้พูดผิดพลาด

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
มองไปข้างหน้า ลองมีมารยาทเพื่อลดความขัดแย้ง
- สังเกตบริบทของบทสนทนา
กลุ่มที่มีภาษากลาง เช่น ภาษาอังกฤษในสหรัฐฯ ควรใช้ภาษานั้น ๆ เพื่อให้ทุกคนมีส่วนร่วม แต่ในบทสนทนาส่วนตัว เช่น คุยกับเพื่อน การใช้ภาษาต่างชาติไม่ถือว่าผิด - ปรับตัวตามท้องถิ่น
นักท่องเที่ยวควรเรียนรู้คำทักทายพื้นฐานในภาษาท้องถิ่นเพื่อแสดงความเคารพ เช่น การพูด "Bonjour" ในฝรั่งเศส หรือ "Hello" ในสหรัฐฯ - สื่อสารอย่างโปร่งใส
หากต้องใช้ภาษาต่างชาติในที่สาธารณะ การอธิบายสั้น ๆ ถึงเหตุผล เช่น ขอโทษนะ ฉันกำลังคุยกับแม่ที่พูดเฉพาะภาษานี้ อาจช่วยลดความเข้าใจผิด - สร้างความเข้าใจในที่ทำงาน
นายจ้างควรจัดอบรมด้านความหลากหลายทางวัฒนธรรม เพื่อให้พนักงานเข้าใจบริบทของการใช้ภาษาต่างชาติ

ภาพประกอบข่าว
ภาพประกอบข่าว
ด้วยการย้ายถิ่นและการทำงานข้ามชาติที่เพิ่มขึ้น การพูดภาษาต่างชาติในที่สาธารณะจะยังคงเป็นประเด็นถกเถียง นักมารยามสหรัฐฯ เน้นว่า การส่งเสริม "ความฉลาดทางวัฒนธรรม" ผ่านการศึกษาและการรณรงค์จะช่วยลดความขัดแย้ง โดยเฉพาะในสังคมที่มีความหลากหลายสูง เช่น สหรัฐฯ ที่มีผู้อพยพจากกว่า 200 ประเทศ นอกจากนี้ การใช้เทคโนโลยี เช่น แอปพลิเคชันแปลภาษา อาจช่วยเชื่อมช่องว่างระหว่างภาษาและลดความรู้สึกไม่สบายใจ
ที่สุดแล้ว การพูดภาษาอื่นในที่สาธารณะ ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด แต่ผู้พูดต้องคำนึงถึงบริบทและความรู้สึกของคนรอบข้าง การสร้างสมดุลระหว่างสิทธิส่วนบุคคลและความเคารพต่อผู้อื่น จะเป็น "กุญแจสำคัญ" ในการอยู่ร่วมกันในสังคมพหุวัฒนธรรม
ที่มา : The New York Times , The Guardian, CBC News, Pew Research Center, EEOC (2022). "Language Discrimination in the Workplace."
อ่านข่าวอื่น :
ไม่ใช่แค่หนึ่ง นักวิจัยขึ้น-ลง 15 ครั้ง สำรวจพบ "เฟิร์นชนิดใหม่" ภูกระดึง
"สว.สำรอง" ยื่นคำร้อง กกต.จี้ทบทวนสั่ง "แสวง" ยุติปฏิบัติหน้าที่ การเมือง 21 พ.ค. 68 14:23 112
“เจ๊แมว-กุสุมาลวตี” สว.สำรอง”ตัวตึง”ท้าชนแหลก "อนุทิน-ภูมิใจไทย"