วันนี้ (26 พ.ค.2568) จากภาพที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้ในทางการเมือง คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย สวมกอดกับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กลางเวที ความจริงมีหนึ่งเดียว ครั้งที่ 2/2568 ที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วานนี้ (25 พ.ค.) ทำให้เกิด การวิเคราะห์ว่า จับมือกันเพื่อขจัดระบอบทักษิณ
ล่าสุดนายจตุพร อธิบายถึงที่มาของภาพดังกล่าว เกิดขึ้นตอนที่ตนและนายสนธิถูกคุมขังในเรือนจำ และได้เจอกันที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ ซึ่งขณะนั้นนายสนธิได้ชวนกินข้าว แล้วก็ชักชวน ว่าในวันข้างหน้าหากมีโอกาสควรจะแถลงร่วมกันสักครั้งหนึ่ง เรื่องของชาติบ้านเมือง ตนจึงตอบรับว่ายินดี ซึ่งตอนนั้นก็พูดอยู่ในจุดที่ต่ำสุดของชีวิต เป็นนักโทษอยู่ในสุสานคนเป็น และก็ไม่รู้ว่าแต่ละคนจะได้ออกกันไปเมื่อไหร่ จนกระทั่งต่างคนต่างได้ออกมา แล้วนายทักษิณ ก็เดินทางกลับมาพอดี พร้อมกับเผยให้เห็นความเป็นตัวตนของคุณทักษิณพอดี
แต่ยืนยันที่เดินหน้าจับมือกันครั้งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการขจัดระบอบทักษิณ เพราะไม่ต้องจับมือกับนายสนธิ นายทักษิณ ก็จะมีอันเป็นไป ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้อยู่แล้ว รัฐบาลจะปรับคณะรัฐมนตรีเขี่ยร่วมรัฐบาลออก ก็จะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว หรือหากจะเจอสึนามิทางการเมือง รัฐธรรมนูญมาตรา 144 ที่ไปยุ่งเกี่ยวกับงบประมาณการใช้หนี้ ก็จะเกิดโทษที่ต้องให้พ้นจากตำแหน่ง ทั้ง ครม. , สส. และ สว. เกลี้ยงกระดานก็รออยู่แล้ว ยังไม่นับรวมเรื่องคุณสมบัติส่วนตัวของนายกรัฐมนตรี
"ไม่จำเป็นต้องจับมือโค่นล้ม เพราะอย่างไรก็ไปตามเวลาอยู่แล้ว ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ว่าหลังจากนั้นจะเป็นเรื่องใหญ่ ปัญหาของชาติที่มันตกต่ำทุกอย่าง จะพลิกฟื้นกันอย่างไร ดังนั้น หลังจากนี้คงจะได้หารือ กันอย่างเป็นรูปธรรมกับนายสนธิ แต่หลังจากนี้ก็จะมีภารกิจกับบุคคลในหลายฝ่ายเช่นนักวิชาการ นักกฎหมายผู้อาวุโสต่างๆ ที่เคยคิดแนวทางประเทศไทยสีขาว แต่ตอนนี้เป้าหมายยังไม่ได้พูดคุยกับทหารหรือกลุ่มนักธุรกิจ"
อ่านข่าว : “สนธิ-จตุพร” สลัดสีเสื้อ-ขั้วตรงข้าม เปิดฉากรบ “เพื่อไทย-ทักษิณ”
นายจตุพร ยอมรับว่า ตอนนี้ตนเองและนายสนธิเลยความเป็นตัวตนมาแล้ว ไม่ได้สนใจกับคำว่า ต้องขัดแย้งกันต่อไป เพื่อเอาใจมวลชนโดยไม่สนใจบริบท ตอนนี้ฝ่ายการเมืองที่ทะเลาะกันก็ไปจูบปากกันหมดแล้ว แล้วประชาชนจะมัวทะเลาะกันไปได้อย่างไร เพราะถ้าขัดแย้งกันต่อไปแล้วได้รัฐบาลพันธ์ุแบบนี้ ดังนั้น ตนจึงไม่ได้สนใจว่าจะเห็นด้วยหรือไม่ ไม่ได้แคร์ภาพในตรงนั้นแล้ว ปัญหาคือจะต้องการความรู้สึกแบบนั้นไปเพื่ออะไรในเมื่อก็ไม่ได้เป็นนักการเมืองแล้ว แต่ถ้ามองปัญหาชาติบ้านเมืองในวันข้างหน้า จะไปสนใจสิ่งเหล่านั้นทำไม
นายจตุพร ยอมรับว่า ตอนนี้ยังไม่จำเป็นจะต้องลงท้องถนน นายทักษิณก็ไปอยู่แล้ว รัฐบาลก็ไปอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ห่วงคือการเมืองในวันข้างหน้า ประชาชนจะหลุดพ้นจากวังวนเดิมได้อย่างไร แต่ก็ยอมรับว่าไม่มีอะไรการันตีเรื่องของการลงถนน ในอนาคต
อีกไม่กี่วันการเมืองก็จะถึงจุดเปลี่ยน แต่ทำอย่างไรไม่ให้มันไปสู่วังวนแบบเดิม นี่คือโจทย์ใหญ่ ที่ต้องร่วมกันคิด และสิ่งสำคัญคือไม่ควรกินแรงประชาชน ก่อนจะนำเสนอในสิ่งที่ควรจะเป็นของบ้านเมืองเรา ที่ไม่ต้องจบลงแบบการรัฐประหารแบบเดิม หรือการเมืองเพียงแค่สลับคน แต่ปัญหายังอยู่เหมือนเดิม
นายจตุพร ยังยืนยันว่า ไม่ได้สนใจเรื่องของทุน อย่าไปห่วงเรื่องนี้ มันก็เหมือนการสร้างโบสถ์สร้างวิหาร ถ้ารอให้มีเงินก่อนไม่ได้สร้าง แต่มีความคิดที่จะสร้าง หลังจากนั้นศรัทธาก็มาเอง วันนี้ก็ใช้หลักคิดเช่นเดียวกัน เราอาจจะต้องใช้เวลาเพื่อสร้างความเข้าใจให้ประชาชน แต่ถ้าวันนี้ เราคิดเรื่องเงินเรื่องทุนก่อน มันไปไม่ได้หรอกสเต็ปถัดไปจะเป็นเรื่องของการพูดคุยกับกลุ่มต่างๆ แต่ยังไม่มีทหารและนักธุรกิจ และหลังจากนั้น จะมีการแถลงทิศทางร่วมกันอีกครั้ง
อ่านข่าว :
"วิสุทธิ์" ยัน 324 เสียงพรรคร่วมรับหลักการงบฯ 69 เชื่อไร้อุบัติเหตุทางการเมือง
นายกฯ พร้อมแจงศึกอภิปรายงบฯ ปี 69 - "อนุทิน" ยันภูมิใจไทยไม่มีโหวตขวาง
“โรม” เหน็บ “ทวี” ด้อยค่านายกฯ ไม่เชิญมาพูดเรื่องยาเสพติด แต่กลับเชิญ “ทักษิณ”