นับตั้งแต่ โดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่งผู้นำสหรัฐอเมริกา ได้เปิดศึกกับมหาวิทยาลัยชั้นนำ รวมถึงออกมาตรการพุ่งเป้าไปที่นักศึกษาต่างชาติหลายมาตรการ ล่าสุด มีรายงานว่า สั่งระงับกระบวนการพิจารณาวีซาของนักศึกษาที่เตรียมไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาด้วย
ทำวีซาไม่ได้ก็ไปเรียนต่อลำบาก แม้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ชี้แจงว่า เป็นการสั่งระงับแค่ชั่วคราวเท่านั้น แต่ความล่าช้าที่เกิดขึ้นก็อาจจะส่งผลกระทบต่อนักศึกษาใหม่ในปีนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ มาตรการของรัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ นอกจากจะสร้างความลำบากให้กับนักเรียน นักศึกษาแล้ว ยังอาจจะส่งผลกระทบหนักไปยังกระเป๋าเงินของสถาบันการศึกษาหลายแห่งที่พึ่งพิงรายได้จากนักศึกษาต่างชาติทั่วสหรัฐฯ อีกด้วย
อ่านข่าว : นักศึกษาไทยในฮาร์วาร์ด หวั่นอนาคต หลังคำสั่ง "ทรัมป์"
ที่ฮาร์วาร์ด นักศึกษารวมตัวประท้วงต่อต้านนโยบายรัฐบาลทรัมป์ ซึ่งถูกมองว่าพุ่งเป้าเล่นงานสถาบันเก่าแก่และร่ำรวยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ พร้อมแสดงพลังสนับสนุนนักศึกษาต่างชาติที่ได้รับผลกระทบ การประท้วงเกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอน หลังจากรัฐบาลทรัมป์ยกระดับการควบคุมการรับนักศึกษาต่างชาติขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการสั่งให้สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลทั่วโลก งดรับการนัดหมายเพื่อสัมภาษณ์วีซาเป็นการชั่วคราว ไปจนกว่าจะมีการประกาศแนวปฏิบัติเพิ่มเติม ยกเว้นกรณีที่มีนัดอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะไม่ได้รับผลกระทบ
นอกจากนี้ รัฐบาลยังมีแผนยกระดับการตรวจสอบการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของผู้ยื่นคำร้องขอวีซานักเรียนทุกคนด้วย ซึ่งจะครอบคลุมทั้งการโพสต์ การแชร์ และการแสดงความคิดเห็นบนสื่อสังคมออนไลน์ทุกแพลตฟอร์ม โดยโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า สหรัฐฯ จะใช้ทุกเครื่องมือที่มีอยู่เพื่อตรวจสอบคนที่ต้องการเข้ามาในประเทศ
ถือเป็นความฝันของหลายคนที่จะได้ไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ เพราะมีมหาวิทยาลัยชั้นนำจำนวนมากและเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยโอกาสและเสรีภาพ โดยในแต่ละปีมีนักศึกษาต่างชาติไปเรียนต่อที่สหรัฐฯ นับล้านคน ซึ่งแม้ว่าในช่วงปีการศึกษา 2020/21 และปีการศึกษา 2021/22 จะมีนักศึกษาต่างชาติไม่ถึง 1 ล้านคน เนื่องจากวิกฤตโควิด-19
แต่ในปีการศึกษา 2023/24 ตัวเลขนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ เพิ่มสูงจนทำสถิติ โดยคิดเป็นประมาณ 6% ของจำนวนนักศึกษาทั่วประเทศ และที่สำคัญ จากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า นักศึกษาต่างชาติเหล่านี้สร้างเม็ดเงินให้กับเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2023
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาเรียกร้องให้สหรัฐฯ ปกป้องสิทธิอันชอบธรรมและผลประโยชน์ของนักเรียน นักศึกษาต่างชาติ ซึ่งรวมถึงจากจีนด้วย หลังจากชาวจีนได้รับผลกระทบหนักจากมาตรการที่เกี่ยวข้องกับภาคการศึกษาของสหรัฐฯ
โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลทรัมป์เคยกล่าวหาและพาดพิงถึงพรรคคอมมิวนิสต์จีน และใช้ประเด็นดังกล่าวเพื่อเพิกถอนใบรับรองโครงการนักศึกษาและนักเรียนแลกเปลี่ยนของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ซึ่งส่งผลให้ทางมหาวิทยาลัยไม่สามารถรับนักศึกษาต่างชาติได้ โดยในครั้งนั้นรัฐบาลจีนออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาและแสดงจุดยืนต่อต้านการทำให้ความร่วมมือด้านการศึกษากลายเป็นประเด็นทางการเมือง
ในปีการศึกษา 2023/24 มีนักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯ มากกว่า 1,100,000 คน แต่ชาวจีนไม่ใช่กลุ่มใหญ่ที่สุด แม้จะกินส่วนแบ่ง 1 ใน 4 ของนักศึกษาต่างชาติทั้งหมดในปีการศึกษานั้นก็ตาม โดยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองระหว่างสองประเทศ นับตั้งแต่สงครามการค้ายุคทรัมป์ 1.0 ต่อเนื่องมายังยุคโควิด-19 รัฐบาลไบเดน และจนถึงทรัมป์สมัยที่ 2 ซึ่งทำให้ตัวเลขนักศึกษาอินเดียแซงหน้าจีนไปได้
ในขณะที่นักศึกษาจีนโตติดลบมากกว่า 4% เหลือ 270,000 คน ในปีการศึกษา 2023/24 แต่นักศึกษาอินเดียกลับมีมากกว่า 330,000 คน เพิ่มขึ้นมากกว่า 23% จากปีการศึกษาก่อนหน้า ขณะที่ประเทศที่ส่งนักศึกษามาเรียนที่สหรัฐฯ เพิ่มสูงติดอันดับท็อป 5 มี กานาซึ่งมีนักศึกษาเพิ่มขึ้นมากกว่า 45% ตามมาด้วยบังกลาเทศ อินเดีย อิหร่าน และไนจีเรีย
นักศึกษาอินเดียในนครมุมไบแสดงความตกใจและไม่เห็นด้วยกับมาตรการล่าสุดของสหรัฐฯ ซึ่งนอกจากจะส่งผลกระทบต่ออนาคตของพวกเขาแล้ว ยังไม่เป็นผลดีต่อธุรกิจอเมริกันอีกด้วย เพราะตามปกติคนที่ทำงานในสหรัฐฯ จำนวนมากก็เป็นคนต่างชาติที่ไปเรียนที่นั่นและอยู่ทำงานต่อ
ในขณะเดียวกัน หลายประเทศเริ่มถือโอกาสเชิญชวน ให้คนที่ไม่อยากกระวนกระวายใจกับความไม่แน่นอนของรัฐบาลทรัมป์ ให้หันมาดูตัวเลือกอื่นแทน เช่น เอมมานูเอล มาครง ที่ลงทุนโฆษณามหาวิทยาลัยในฝรั่งเศส ตอนที่พบกับนักศึกษาเวียดนาม
ภาคการศึกษาถือเป็นธุรกิจเพียงไม่กี่อย่างที่สหรัฐฯ ทำการค้าเกินดุลกับประเทศอื่นๆ ซึ่งการเปิดรับนักศึกษาต่างชาติทำเงินให้กับประเทศนี้ปีละหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นอกจากเรื่องเงินแล้ว องค์ความรู้ที่สหรัฐฯ อาจจะพลาดไปจากมาตรการเหล่านี้ก็สร้างความกังวลให้กับคนในแวดวงวิชาการไม่น้อย
วิเคราะห์โดย - ทิพย์ตะวัน ธีรนัยพงศ์
อ่านข่าว : Pride Month นี้ สมรสเท่าเทียมมาแล้ว! ลุยต่อ ร่าง กม. เปลี่ยนคำนำหน้าชื่อ