ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

"ซิฟิลิส" โรคเก่าระบาดใหม่! ภัยเงียบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

สังคม
15:49
3,359
"ซิฟิลิส" โรคเก่าระบาดใหม่! ภัยเงียบโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
อ่านให้ฟัง
17:49อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)
"ซิฟิลิส" โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จากเชื้อแบคทีเรีย กำลังกลับมาระบาดในกลุ่มวัยรุ่น สาเหตุหลักมาจากการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ทั้งนี้ ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ ที่ต้องระมัดระวัง เช่น หนองใน เริม และเอชไอวี การป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง

ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่มีชื่อว่า ทรีโพนีมา พาลลิดัม (Treponema pallidum) เชื้อนี้สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านทางรอยขีดข่วนเล็ก ๆ หรือเยื่อบุอ่อน ๆ ที่สัมผัสโดยตรงกับแผล สารคัดหลั่ง หรือเยื่อเมือกของผู้ติดเชื้อ ช่องทางการติดต่อหลักคือการมีเพศสัมพันธ์ ทั้งทางช่องคลอด ทางปาก (ออรัลเซ็กส์) หรือทางทวารหนัก

นอกจากนี้ยังสามารถติดต่อผ่านการจูบที่สัมผัสกับน้ำลายหรือแผลในปาก การสัมผัสโดยตรงกับบาดแผลของผู้ป่วย การรับเลือดจากผู้ติดเชื้อ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกันในผู้ติดสารเสพติด และที่สำคัญคือการติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ทารกในครรภ์หรือระหว่างการคลอดบุตร ซึ่งเรียกว่า ซิฟิลิสแต่กำเนิด

อย่างไรก็ตาม ซิฟิลิสไม่ได้ติดต่อผ่านทางการใช้เสื้อผ้าร่วมกัน ห้องน้ำร่วมกัน ภาชนะใส่อาหาร ลูกบิดประตู สระว่ายน้ำ หรืออ่างอาบน้ำ

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

อาการ 4 ระยะ "ซิฟิลิส"

อาการของโรคซิฟิลิสจะแตกต่างกันไปตามระยะของการดำเนินโรค ซึ่งโดยทั่วไปแบ่งออกเป็น 4 ระยะ อย่างไรก็ตาม การดำเนินโรคอาจไม่จำเป็นต้องเรียงตามลำดับเสมอไป บางระยะอาจคาบเกี่ยวกัน หรือบางรายอาจติดเชื้อโดยไม่มีอาการแสดงเลยเป็นเวลานาน

ระยะที่ 1 "ระยะแผลริมแข็ง"

มักแสดงอาการภายใน 3 สัปดาห์หลังจากได้รับเชื้อ ลักษณะเด่นคือการเกิดแผลเล็ก ๆ สีแดง ขอบนูนแข็งที่เรียกว่า "แผลริมแข็ง (Chancre)" แผลนี้มักกดแล้วไม่เจ็บ ทำให้ผู้ป่วยบางรายไม่รู้ตัวว่ามีแผลเกิดขึ้น โดยเฉพาะหากแผลเกิดในบริเวณที่มองไม่เห็น เช่น ในช่องคลอดหรือทวารหนัก แผลริมแข็งมักเกิดขึ้นเพียงตำแหน่งเดียว แต่ก็อาจมีหลายแผลได้ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ บริเวณอวัยวะเพศ เช่น ส่วนหัวหรือลำองคชาติ ใต้หนังหุ้มปลายองคชาติ รอบถุงอัณฑะในเพศชาย หรือบริเวณปากมดลูก ผนังช่องคลอดในเพศหญิง ปาก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หรือเยื่อบุตา

แม้ว่าแผลริมแข็งจะสามารถหายไปได้เองภายใน 3-8 สัปดาห์ โดยไม่ได้ทำการรักษาใด ๆ แต่เชื้อซิฟิลิสจะยังคงอยู่ในร่างกายและสามารถพัฒนาไปสู่ระยะต่อไปได้

ระยะที่ 2 "ระยะออกดอก"

มักปรากฏอาการ 3-12 สัปดาห์หลังติดเชื้อ เป็นระยะที่เชื้อซิฟิลิสแพร่กระจายเข้าสู่ระบบน้ำเหลืองและกระแสเลือดไปยังอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกาย รอยโรคที่พบบ่อยคือ ผื่น ซึ่งอาจเป็นผื่นราบ ผื่นนูนแข็งมีสะเก็ด หรือแผลหลุมที่ไม่เจ็บ ไม่คัน กระจายไปทั่วร่างกาย อวัยวะเพศ รวมถึงบริเวณฝ่ามือและฝ่าเท้า ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า "ระยะออกดอก"

นอกจากผื่นแล้ว อาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ต่อมน้ำเหลืองโต มีไข้ เจ็บคอ เหนื่อยล้า น้ำหนักลด ปวดข้อ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ อาจมีเชื้อราในปาก หรือมีผมร่วงทั่วศีรษะหรือเป็นหย่อม ๆ ในระยะนี้ ผลเลือดมักเป็นบวก อาการต่าง ๆ ในระยะนี้สามารถหายไปเองได้ภายในไม่กี่สัปดาห์ หรืออาจเป็น ๆ หาย ๆ ก่อนที่เชื้อจะแฝงเร้นเข้าสู่ระยะแฝง

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ระยะที่ 3 "ระยะแฝง"

เป็นระยะที่ผู้ติดเชื้อไม่ได้รับการรักษาใน 2 ระยะแรกเข้าสู่ "ระยะสงบทางคลินิก" ในระยะนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะไม่มีอาการแสดงใด ๆ ที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อ แต่เชื้อจะยังคงแฝงอยู่ในร่างกายและสามารถดำเนินโรคต่อไปได้เป็นเวลานาน โดยอาจนานกว่า 20 ปี ผู้ที่อยู่ในระยะแฝงบางรายอาจมีผื่นหรือแผลออกดอกทั่วร่างกายแบบเป็น ๆ หาย ๆ ได้

แม้ไม่มีอาการ ผู้ติดเชื้อในระยะแฝงช่วงแรกก็ยังสามารถแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การสัมผัสกับสารคัดหลั่งหรือเยื่อเมือก หรือจากแม่สู่ลูก การทราบว่าติดเชื้อในระยะนี้มักทำได้จากการตรวจเลือดเท่านั้น

ระยะที่ 4 "ระยะสุดท้าย"

เป็นระยะที่อันตรายและก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง เกิดขึ้นในผู้ติดเชื้อราวร้อยละ 15-30 ที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม และมักเกิดขึ้นหลายปีหลังจากติดเชื้อ ในระยะนี้ เชื้อซิฟิลิสในต่อมน้ำเหลืองและกระแสเลือดได้ทำลายอวัยวะภายในให้เสียหายอย่างถาวร ส่งผลกระทบต่อระบบต่าง ๆ ในร่างกายอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะระบบประสาทและสมอง ระบบหัวใจและหลอดเลือด ตับ ดวงตา กระดูกและข้อต่อ

ภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ โรคทางระบบประสาทและสมอง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ การสูญเสียการได้ยิน ปัญหาทางสายตาถึงขั้นตาบอด ภาวะสมองเสื่อม การสูญเสียการรับความรู้สึก ความผิดปกติในการเคลื่อนไหว อัมพาต หรืออาการชัก โรคในระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคเส้นเลือดแดงโป่งพอง โดยเฉพาะเส้นเลือดแดงใหญ่เอออร์ตา ลิ้นหัวใจรั่ว หรือหลอดเลือดแดงใหญ่อักเสบ อาจเกิดตุ่มหรือเนื้องอกขนาดใหญ่ที่เรียกว่า กัมมา (Gummas) บนผิวหนัง กระดูก หรืออวัยวะภายใน ซึ่งมักเกิดในระยะหลังของการติดเชื้อ

นอกจากนี้ ซิฟิลิสยังเพิ่มความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) ได้ถึง 2-5 เท่า เนื่องจากแผลริมแข็งอาจมีเลือดออกและเป็นช่องทางให้เชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น ภาวะแทรกซ้อนในระยะสุดท้ายเหล่านี้อาจนำไปสู่ความพิการถาวรและเสียชีวิตได้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในระยะสุดท้ายมักไม่สามารถย้อนกลับได้ แม้จะได้รับการรักษาแล้วก็ตาม

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ซิฟิลิสแต่กำเนิด (Congenital syphilis)

เกิดจากการที่แม่ที่ติดเชื้อซิฟิลิสแพร่เชื้อสู่ลูกในครรภ์ผ่านทางรกหรือระหว่างการคลอด การติดเชื้อนี้มีความรุนแรงมากและอาจส่งผลร้ายแรงถึงแก่ชีวิตได้ ซิฟิลิสแต่กำเนิดเป็นสาเหตุของการคลอดก่อนกำหนด การเสียชีวิตของทารกในครรภ์หรือเสียชีวิตหลังคลอด และทารกแรกเกิดมีน้ำหนักน้อย

ทารกที่ติดเชื้ออาจไม่แสดงอาการในตอนแรก แต่เมื่อโตขึ้นอาจมีอาการ เช่น ผื่นแดงที่ฝ่ามือฝ่าเท้า หูหนวก โครงสร้างฟันผิดปกติ หรือมีลักษณะจมูกผิดปกติที่เรียกว่า จมูกซิฟิลิส (Syphilitic nose) หรือจมูกอานม้า ซึ่งดั้งจมูกจะแฟบบุ๋มลงไป รวมถึงปัญหาสุขภาพรุนแรงอื่น ๆ การตรวจพบและรักษาซิฟิลิสในแม่ตั้งครรภ์ตั้งแต่เนิ่น ๆ ด้วยยาปฏิชีวนะเพนิซิลลิน สามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดอาการเหล่านี้ในทารกได้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

การวินิจฉัยซิฟิลิส

แพทย์จะทำการซักประวัติความเสี่ยง ตรวจร่างกาย และทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ วิธีหลักคือการตรวจเลือดเพื่อหาแอนติบอดี้ (Antibody) หรือภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้นเพื่อต่อสู้กับเชื้อ ซึ่งมีความแม่นยำและสามารถบ่งบอกถึงการติดเชื้อในอดีตได้

การตรวจเลือดมีหลายวิธี ทั้งแบบที่ไม่เฉพาะเจาะจงต่อเชื้อซิฟิลิส เช่น VDRL หรือ RPR และแบบที่เฉพาะเจาะจง เช่น FTA-ABS, TPHA, TP-PA หรือ ICT ผลการตรวจเลือดส่วนใหญ่ทราบภายใน 1-3 วัน ในซิฟิลิสระยะแรกและระยะที่ 2  แพทย์อาจเก็บตัวอย่างจากแผลหรือผื่นไปตรวจหาเชื้อโดยตรงด้วยการส่องกล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (Dark-field microscopy) หากสงสัยว่าซิฟิลิสลุกลามเข้าสู่ระบบประสาทในระยะสุดท้าย แพทย์อาจพิจารณาเจาะน้ำไขสันหลัง (Lumbar puncture) เพื่อนำไปตรวจ

การรักษาซิฟิลิส

ซิฟิลิสเป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ด้วยยาปฏิชีวนะ ยาหลักที่ใช้คือ "ยาเพนิซิลลิน (Penicillin)" ซึ่งแพทย์จะให้โดยการฉีด หากตรวจพบการติดเชื้อในระยะเวลาไม่ถึง 1 ปี หรืออยู่ในระยะแรก แพทย์มักฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อเพียงครั้งเดียว

แต่ถ้ามีการติดเชื้อนานกว่า 1 ปี หรือเข้าสู่ระยะที่ 2 หรือระยะแฝง อาจต้องฉีดยาทุกสัปดาห์รวม 3 เข็ม ในกรณีที่มีการติดเชื้อในระบบต่าง ๆ ของร่างกาย หรือมีอาการรุนแรง อาจต้องให้ยาทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยแพ้ยาเพนิซิลลิน แพทย์จะพิจารณายาปฏิชีวนะชนิดอื่น อย่างไรก็ตาม ยาเพนิซิลลินเป็นยาชนิดเดียวที่มีข้อมูลว่าสามารถป้องกันซิฟิลิสแต่กำเนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หลังได้รับยาปฏิชีวนะในวันแรก ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการที่เรียกว่า ปฏิกิริยาจาริช-เฮิร์กไซเมอร์ (Jarisch-Herxheimer Reaction) ซึ่งมีอาการคล้ายไข้หวัด เช่น มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและข้อ ปวดศีรษะ อาการเหล่านี้มักหายไปเองภายใน 1-2 วัน

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ในช่วงการรักษา แพทย์จะแนะนำให้งดการมีเพศสัมพันธ์จนกว่าจะได้รับการรักษาจนหายขาด และผลการตรวจเลือดเป็นลบ หากจำเป็นต้องมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ที่สำคัญคือ ควรแจ้งให้คู่เพศสัมพันธ์ในช่วงที่ผ่านมาเข้ารับการตรวจหาเชื้อซิฟิลิสด้วย เพื่อให้ได้รับการตรวจและรักษาเช่นกัน

แพทย์มักนัดตรวจเลือดติดตามอาการหลังจากรักษา 3 เดือน และ 6 เดือน และตรวจซ้ำเป็นประจำทุกปี เพื่อป้องกันการพัฒนาไปสู่ระยะสุดท้าย เนื่องจากผู้ป่วยซิฟิลิสมีความเสี่ยงสูงในการติดเชื้อเอชไอวี แพทย์อาจแนะนำให้ตรวจหาเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่ควรรู้

นอกจากซิฟิลิส ยังมีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ที่พบบ่อยและเป็นอันตรายหากไม่ป้องกันหรือรักษา ซึ่งเกิดได้จากหลากหลายเชื้อ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา และปรสิต

  • หนองในแท้

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ในเพศชายมักมีอาการปัสสาวะแสบขัดและมีหนองข้นไหลออกจากปลายท่อปัสสาวะ แต่ในเพศหญิงส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ หรือมีเพียงตกขาวผิดปกติเล็กน้อย หากไม่รักษาอาจลุกลามเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบในหญิง หรือต่อมลูกหมากอักเสบและเป็นหมันในชาย รวมถึงปวดข้อหรือมีผื่นขึ้นตามตัวได้

  • หนองในเทียม

เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Chlamydia trachomatis มักมีอาการปัสสาวะแสบขัดและมีหนองใสไหลออกจากท่อปัสสาวะในเพศชาย และหลายรายอาจไม่มีอาการเลย ภาวะแทรกซ้อนหากไม่รักษาก็คล้ายกับหนองในแท้ เช่น อุ้งเชิงกรานอักเสบและภาวะมีบุตรยาก

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

  • เริม (Herpes)

เกิดจากเชื้อไวรัส Herpes simplex virus มักแสดงอาการเป็นตุ่มน้ำใสขึ้นเป็นกลุ่ม ๆ ร่วมกับอาการปวด แสบ คัน บริเวณอวัยวะเพศ ทวารหนัก หรือริมฝีปาก เชื้อเริมจะซ่อนอยู่ในร่างกายและสามารถกำเริบซ้ำได้เมื่อร่างกายอ่อนแอ ยาต้านไวรัสสามารถช่วยควบคุมอาการได้ แต่ไม่สามารถกำจัดเชื้อออกจากร่างกายได้ทั้งหมด ผู้ป่วยยังสามารถแพร่เชื้อได้แม้ไม่มีอาการ

  • หูดหงอนไก่

เกิดจากเชื้อไวรัส Human papilloma virus (HPV) ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการหลังติดเชื้อ แต่บางรายอาจมีติ่งเนื้อหรือก้อนคล้ายดอกกะหล่ำขึ้นบริเวณอวัยวะเพศและทวารหนัก ซึ่งอาจมีอาการคัน เจ็บ หรือมีเลือดออก หูดหงอนไก่อาจกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อย เชื้อ HPV บางสายพันธุ์ยังสามารถทำให้เกิดโรคมะเร็งบริเวณอวัยวะเพศได้ เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก หากร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อได้เอง มีวัคซีนป้องกันเชื้อ HPV ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อ โดยเฉพาะหากฉีดก่อนมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรก

  • เอชไอวี (HIV)

เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส HIV ซึ่งเข้าทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ติดเชื้อโรคอื่น ๆ ได้ง่ายและนำไปสู่ภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (เอดส์) และเสียชีวิตในที่สุด เอชไอวีติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ การรับเลือด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน และจากแม่สู่ลูก การรักษาด้วยยาต้านไวรัสสามารถช่วยลดจำนวนเชื้อไวรัสในร่างกายและทำให้ผู้ติดเชื้อมีสุขภาพแข็งแรงใกล้เคียงคนปกติได้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ดูแลตัวเอง-ป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์

แม้ว่าสำหรับซิฟิลิสจะยังไม่มีวัคซีนป้องกัน วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย การงดเว้นการมีเพศสัมพันธ์ หรือมีเพศสัมพันธ์เฉพาะกับคู่รักเพียงคนเดียวที่ไม่มีการติดเชื้อ จะช่วยลดความเสี่ยงลงได้อย่างมาก

การใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกวิธีและทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ก็เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพ แต่ควรมั่นใจว่าถุงยางอนามัยครอบคลุมบริเวณที่เป็นแผลด้วยหากมี ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การเปลี่ยนคู่นอนบ่อย การทำออรัลเซ็กส์กับคู่ที่ไม่รู้จัก หลีกเลี่ยงการใช้สารเสพติดหรือดื่มเครื่องดื่มมึนเมาที่อาจทำให้ขาดสติและนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น และไม่สัมผัสบาดแผลของผู้อื่น

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

สิ่งสำคัญอีกประการคือ การเข้ารับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หากไม่สามารถทราบได้แน่ชัดว่า ตนเองหรือคู่นอนมีการติดเชื้อหรือไม่ เพราะภายนอกดูแข็งแรงดี มีผู้ติดเชื้อหลายรายอาจไม่มีอาการแสดง "การตรวจ" เป็นวิธีเดียวที่จะยืนยันได้ หากมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเพิ่งมีความเสี่ยงในการติดโรค เช่น มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน หรือทราบว่าคู่นอนติดเชื้อ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจทันที

โดยทั่วไป ผู้ที่อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ควรได้รับการตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างน้อยปีละครั้ง โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น มีคู่นอนหลายคน หรือกลุ่มชายรักชาย สำหรับหญิงตั้งครรภ์ การตรวจหาเชื้อซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลครรภ์ที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยของทารกในครรภ์ นอกจากนี้ การตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานก็เป็นโอกาสที่ดีในการตรวจคัดกรองโรคเหล่านี้

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

ภาพประกอบข่าว

การเข้ารับการตรวจอาจดูน่ากลัวหรือน่าอายสำหรับบางคน แต่ควรทำใจให้สบาย เพราะการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสุขภาพที่รับผิดชอบ หากตรวจพบเชื้อตั้งแต่เนิ่น ๆ โรคซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากแบคทีเรียส่วนใหญ่สามารถรักษาให้หายขาดได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะช่วยหยุดการดำเนินโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงในระยะยาวได้

การรู้ผลเร็วและได้รับการรักษาทันที จะช่วยให้คุณกลับมามีสุขภาพที่ดีและป้องกันการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่าปล่อยให้อาการเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือความกลัวและความอาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากในอนาคต

แหล่งข้อมูล : สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย, รพ.จุฬารัตน์ 9 แอร์พอร์ต, รพ.นครธน, MedPark Hospital, รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์, รพ.ศิครินทร์

อ่านข่าวอื่น :

3 มิ.ย.ชี้ชะตา! "เกาหลีใต้" หาผู้นำใหม่ท่ามกลางวิกฤตการเมือง

แจ้งเตือน 11 จว. ระดับน้ำเจ้าพระยาเพิ่มสูงขึ้น เหตุน้ำเหนือยังมาก