วันนี้ (29 พ.ค.2568) เกาหลีใต้กำลังนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดี "ฉับพลัน" ในวันที่ 3 มิ.ย.2568 เพื่อหาผู้มาแทนที่ ยุน ซอก-ยอล ซึ่งถูกถอดถอนเมื่อวันที่ 4 เม.ย.ที่ผ่านมา หลังศาลรัฐธรรมนูญยืนยันมติรัฐสภาถอดถอนจากกรณีพยายามประกาศใช้กฎอัยการศึกเมื่อ ธ.ค.2567 การเลือกตั้งครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองที่ยืดเยื้อถึง 6 เดือน ทำให้เกาหลีใต้ต้องมีรักษาการประธานาธิบดีถึง 3 คน ล่าสุดคือ ลี จู-โฮ รัฐมนตรีศึกษาธิการ ซึ่งรับตำแหน่งเมื่อ เม.ย.2568 ความปั่นป่วนนี้สั่นคลอนความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศ
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้ครั้งนี้ มีชื่อเรียกเฉพาะคือ "Snap election" หรือ "การเลือกตั้งฉับพลัน" หมายถึง การเลือกตั้งทั่วไปที่ถูกจัดขึ้นก่อนกำหนดตามวาระปกติ มักเกิดขึ้นจากเหตุผลทางการเมือง เช่น แก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมือง เป็นการเลือกตั้งที่ทุกคนต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและทุกฝ่ายต้องเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งในเวลาอันสั้น
6 แคนดิเดตประธานาธิบดี
- ลี แจ-มยอง (พรรคประชาธิปไตย) - ตัวเต็งตามโพล อดีตผู้ว่าการคยองกีและนายกเทศมนตรีซองนัม ได้รับฉายาวีรบุรุษชนชั้นแรงงาน
- คิม มุน-ซู (พรรคพลังประชาชน) - อดีตรัฐมนตรีแรงงาน ชูแนวทางฟื้นเศรษฐกิจและสนับสนุนธุรกิจ
- ลี จุน-ซอก (พรรคปฏิรูปใหม่) - อดีตผู้นำพรรคพลังประชาชน เน้นการปฏิรูปการเมือง
- ควอน ยอง-กุก (พรรคแรงงานประชาธิปไตย) - เน้นนโยบายแรงงานและความเท่าเทียม
- ฮวัง กโย-อัน (อิสระ) - อดีตรักษาการนายกฯ และอัยการ
- ซง จิน-โฮ (อิสระ) - นักเคลื่อนไหวที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก

จากซ้าย ลี แจ-มยอง, ควอน ยอง-กุก, คิม มุน-ซู และ ลี จุน-ซอก
จากซ้าย ลี แจ-มยอง, ควอน ยอง-กุก, คิม มุน-ซู และ ลี จุน-ซอก
แม้จะมีรายชื่อผู้สมัครถึง 6 คน แต่ในความเป็นจริงเหมือนเป็นการแข่งขันของตัวแทนจากพรรคใหญ่เพียง 2 คนเท่านั้น คือ ลี แจ-มยอง และ คิม มุน-ซู ในการเลือกตั้งครั้งนี้ โพลสำรวจชี้ว่า ลี แจ-มยอง จากพรรคประชาธิปไตย ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก เป็นผู้ที่นำมาเป็นอันดับแรก ในบรรดาผู้สมัคร 6 คน ตามมาด้วย คิม มุน-ซู จากพรรคพลังประชาชน ซึ่งเป็นพรรครัฐบาล
ลี แจ-มยอง ได้เปรียบจากการเป็นผู้นำประท้วงต่อต้านยุน เขาให้คำมั่นสร้าง "เกาหลีใต้ที่เป็นธรรม" ด้วยนโยบายรายได้พื้นฐานถ้วนหน้าและสนับสนุนชนชั้นแรงงาน แต่เขาก็เผชิญข้อกล่าวหาทุจริตและให้การเท็จ ซึ่งศาลฎีกายังไม่ตัดสิน หากถูกตัดสินว่าผิดหลังชนะเลือกตั้ง อาจนำไปสู่วิกฤตใหม่ ในขณะที่ คิม มุน-ซู คู่แข่งจากพรรคพลังประชาชน เน้นฟื้นเศรษฐกิจ แต่พรรคเสียเปรียบจากความล้มเหลวของยุน

ลี แจ-มยอง
ลี แจ-มยอง

คิม มุน-ซู
คิม มุน-ซู
ขั้นตอนการเลือกตั้ง
การเลือกตั้งฉับพลันจะจัดขึ้นทั่วประเทศในวันที่ 3 มิ.ย.2568 โดยหน่วยเลือกตั้งทั่วประเทศจะเปิดให้ลงคะแนนตั้งแต่ 06.00-20.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น แต่สำหรับชาวเกาหลีใต้ในต่างประเทศและบางกลุ่ม สามารถลงคะแนนได้ระหว่าง 20-25 พ.ค.2568 และในเกาหลีใต้ ก็มีการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้า ในวันนี้และพรุ่งนี้ (29-30 พ.ค.) การนับคะแนนจะเริ่มทันทีหลังปิดหีบ โดยคาดว่าจะทราบผลผู้ชนะในช่วงเช้ามืดของวันที่ 4 มิ.ย.2568 ตามรัฐธรรมนูญ เกาหลีใต้ต้องจัดการเลือกตั้งภายใน 60 วันหลังการถอดถอนประธานาธิบดี เพื่อให้แน่ใจว่าประเทศมีผู้นำโดยเร็ว
เมื่อผลการเลือกตั้งได้รับการยืนยันจากคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งชาติ ผู้ชนะจะต้องเข้ารับตำแหน่งทันทีด้วยพิธีสาบานตนที่จัดขึ้นที่ทำเนียบประธานาธิบดี (Blue House) หรือรัฐสภา พิธีนี้จะเป็นการยืนยันความรับผิดชอบอย่างเป็นทางการต่อประชาชน โดยผู้ชนะจะต้องกล่าวคำปฏิญาณตามรัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องชาติและผลประโยชน์ของประชาชน ประธานาธิบดีคนใหม่จะมีวาระ 5 ปีตามปกติ และไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งซ้ำได้ตามรัฐธรรมนูญ
หลังจากนั้น ประธานาธิบดีคนใหม่จะเริ่มกระบวนการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งรวมถึงการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การแต่งตั้งนายกฯ ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งอาจเป็นเรื่องท้าทายหากพรรคของประธานาธิบดีไม่มีเสียงข้างมากในสภา
เมื่อรัฐบาลใหม่พร้อม ประธานาธิบดีจะต้องกำหนดนโยบายเร่งด่วนเพื่อตอบสนองวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น เช่น การฟื้นความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง นอกจากนี้ ยังต้องจัดทำงบประมาณประจำปี ซึ่งต้องผ่านการอนุมัติจากรัฐสภา และอาจต้องทบทวนนโยบายต่างประเทศ เช่น ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ และจีน รวมถึงรับมือภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ กระบวนการทั้งหมดนี้ต้องดำเนินการอย่างรวดเร็ว เนื่องจากเกาหลีใต้ไม่สามารถอยู่ในภาวะสุญญากาศทางการเมืองได้นาน

6 ความท้าทาย ผู้นำโสมขาวคนใหม่ต้องเจอ
ประธานาธิบดีคนใหม่ของเกาหลีใต้จะต้องเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและเร่งด่วนในหลายมิติ ซึ่งแต่ละประเด็นต้องการการตัดสินใจที่เฉียบคมและความสามารถในการรวมชาติที่แตกแยก การเมืองเกาหลีใต้ในปี 2568 อยู่ในภาวะเปราะบาง หลังจากวิกฤตยุน ซอก-ยอล ทำให้ประชาชนขาดความไว้วางใจในผู้นำและสถาบันการเมือง
1.ความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ภายใต้การนำของ โดนัลด์ ทรัมป์
นับเป็นความท้าทายที่ยากลำบาก เพราะทรัมป์ประกาศนโยบาย "America First" และเรียกเก็บภาษีศุลกากรร้อยละ 25 จากสินค้าเกาหลีใต้ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้ที่พึ่งพาการส่งออกอย่างหนัก บวกกับการเจรจากับทรัมป์ที่ไม่เคยง่าย ด้วยท่าทีแข็งกร้าวและคาดเดายาก ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องหาทางรักษาความเป็นพันธมิตรด้านความมั่นคง ขณะเดียวกันก็ต้องปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าจากนโยบายกีดกันของสหรัฐฯ
2.ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ
ยังคงเป็นประเด็นที่ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง แม้ว่าปี 2568 จะค่อนข้างสงบ แต่ในปี 2567 คิม จอง-อึน เคยยกระดับความตึงเครียดด้วยวาทศิลป์ที่แข็งกร้าว รวมถึงการส่งบอลลูนและโดรนบรรจุใบปลิวโฆษณาชวนเชื่อข้ามพรมแดน ซึ่งเกาหลีใต้ตอบโต้ด้วยวิธีการที่คล้ายกัน ผู้นำคนใหม่ต้องตัดสินใจว่าจะใช้แนวทางการทูตเพื่อลดความตึงเครียด หรือจะรักษาท่าทีแข็งกร้าวด้วยการเพิ่มการซ้อมรบร่วมกับสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลต่อความมั่นคงในคาบสมุทรเกาหลีและความเชื่อมั่นของประชาชน
3.รักษาสมดุลความสัมพันธ์ระหว่างจีนและสหรัฐฯ
เป็นโจทย์ที่ยากยิ่ง เพราะจีนเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า แต่สหรัฐฯ เป็นพันธมิตรด้านความมั่นคงที่สำคัญ โดยมีทหารสหรัฐฯ ประจำการในเกาหลีใต้กว่า 28,000 นาย ความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในประเด็นเช่นไต้หวันและทะเลจีนใต้ ทำให้เกาหลีใต้ต้องเลือกข้างอย่างระมัดระวัง การเอียงไปทางสหรัฐฯ มากเกินไปอาจทำให้จีนตอบโต้ด้วยการจำกัดการค้ากับเกาหลีใต้ เช่น การคว่ำบาตรสินค้าหรือลดการลงทุน ในทางกลับกัน การใกล้ชิดจีนมากเกินไปอาจทำให้สหรัฐฯ ลดการสนับสนุนด้านกลาโหม
4.อัตราการเกิดที่ต่ำที่สุดในโลกของเกาหลีใต้
ซึ่งอยู่ที่ 0.75 ต่อหญิง 1 คน เป็นวิกฤตระยะยาวที่คุกคามอนาคตของชาติ ประชากรที่ลดลงและสูงวัยอย่างรวดเร็วสร้างแรงกดดันต่อระบบสวัสดิการ เงินบำนาญ และกำลังแรงงาน ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องออกนโยบายที่จูงใจให้คู่รักมีบุตร เช่น การให้เงินอุดหนุน การขยายวันลาคลอด และการสร้างที่อยู่อาศัยราคาไม่แพงในเมืองใหญ่ อย่างไรก็ตาม นโยบายเหล่านี้ต้องเผชิญกับความท้าทายด้านงบประมาณและทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่มองว่าการมีครอบครัวเป็นภาระ
5.ความแตกแยกทางการเมืองในเกาหลีใต้ถึงจุดวิกฤต
เห็นได้จากเหตุการณ์รุนแรง เช่น การที่ ลี แจ-มยอง ถูกทำร้ายในเดือน ม.ค.2567 ซึ่งสะท้อนถึงความรุนแรงที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายเสรีนิยมและอนุรักษนิยม การเมืองเกาหลีใต้แบ่งขั้วอย่างชัดเจน โดยพรรคประชาธิปไตยของลี แจ-มยอง ได้รับการสนับสนุนจากชนชั้นแรงงานและคนรุ่นใหม่ ขณะที่พรรคพลังประชาชนของคิม มุน-ซู ได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มอนุรักษนิยมและผู้สูงอายุ ความแตกแยกนี้ทำให้การผ่านกฎหมายในรัฐสภาเป็นเรื่องยาก และสร้างความไม่ไว้วางใจในหมู่ประชาชน
6.เศรษฐกิจที่สั่นคลอน
วิกฤตยุน ซอก-ยอล ทำให้ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ผันผวน และนักลงทุนต่างชาติลังเลที่จะลงทุนในประเทศ หนี้ครัวเรือนที่สูงขึ้นและเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นทำให้ประชาชนรู้สึกกดดันด้านการเงิน อุตสาหกรรมหลักอย่างเซมิคอนดักเตอร์เผชิญการแข่งขันจากจีนและไต้หวัน ขณะที่การส่งออกรถยนต์ได้รับผลกระทบจากภาษีของทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ต้องออกนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การลงทุนในเทคโนโลยีสีเขียว การสนับสนุน SME และการลดภาระภาษีสำหรับครัวเรือน
ย้อนรอย ยุน ซอก-ยอล และ วิกฤตเลือกตั้งฉับพลัน
กลางดึงวันที่ 3 ธ.ค.2567 ยุน ซอก-ยอล ประกาศใช้กฎอัยการศึกฉุกเฉินเป็นเวลา 6 ชั่วโมง อ้างว่าเพื่อปกป้องชาติจาก "กองกำลังต่อต้านรัฐ" และเกาหลีเหนือ แต่ต่อมาเผยว่าเป็นการตอบโต้ปัญหาการเมืองภายใน เช่น การต่อต้านจากพรรคฝ่ายค้านที่ควบคุมรัฐสภา การตัดงบประมาณ และความนิยมที่ตกต่ำ การกระทำนี้จุดชนวนการประท้วงครั้งใหญ่ ลี แจ-มยอง ผู้นำพรรคประชาธิปไตย นำประชาชนบุกรัฐสภาและยกเลิกกฎอัยการศึกได้สำเร็จ
1 สัปดาห์ต่อมา รัฐสภาลงมติถอดถอนยุนด้วยคะแนนท่วมท้น วันที่ 4 เม.ย.2568 ศาลรัฐธรรมนูญยืนยันการถอดถอน ทำให้ยุนพ้นจากตำแหน่งถาวร ปัจจุบัน ยุนเผชิญคดีกบฏและใช้อำนาจมิชอบ เขากลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกที่ถูกจับกุมขณะดำรงตำแหน่งในเดือน ม.ค.2568 ก่อนได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ช่วง 6 เดือนหลังถอดถอน เกาหลีใต้มีรักษาการประธานาธิบดี 3 คน ได้แก่ ชเว ซัง-มก (รมว.คลัง), ฮัน ดัค-ซู (นายกฯ), และ ลี จู-โฮ (รมว.ศึกษาธิการ)
รู้หรือไม่ : การเลือกตั้งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกในรอบ 18 ปีที่ไม่มีผู้สมัครหญิงลงชิงตำแหน่ง
ที่มา : BBC, Nikkei Asia
อ่านข่าวอื่น :
"ทภ.2" ขอ "งดแชร์" ข้อมูลปฏิบัติการทางทหาร กระทบความมั่นคงชาติ
จ่อแจ้งข้อหาเพิ่ม "แย้ม-อรัญญาวรรณ" ปมยักยอกเงินประมูลร้านค้าวัดไร่ขิง