วันนี้ (4 มิ.ย.2568) พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ นำแถลงบทสรุปการจัดหาเครื่องบินขับไล่ทดแทน ว่า กองทัพอากาศให้ความสำคัญกับการเลือกแบบตั้งแต่เริ่มกระบวนการคัดเลือก ทั้งรายละเอียดหลัก และนโยบายชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ หรือ Offset Policy ซึ่งถือเป็นมิติใหม่ของกองทัพอากาศและเป็นโครงการนำร่องในเรื่องของการพิจารณา Offset Policy
โครงการนี้เป็นโครงการสำคัญในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ของกองทัพอากาศเพื่อมุ่งสู่การเป็นกองทัพอากาศที่แข็งแกร่ง พร้อมปกป้องอธิปไตย ตามสมุดปกขาวของกองทัพอากศ เพื่อทดแทนเครื่องบิน F-16 จากกองบิน 1 ที่ใช้มากกว่า 37 ปี โดยโครงการนี้แบ่งเป็น 3 ระยะ รวม 10 ปี ซึ่งระหว่างนี้ยังต้องใช้ F-16 ไปอีกประมาณ 10 ปี

ทั้งนี้ กองทัพอากาศคัดเลือกจาก 20 แบบ จนเหลือ 6 แบบ และเหลือ 2 แบบ ในที่สุดก็เลือก Gripen E/F ซึ่งตอบโจทย์ในเรื่องของการต่อยอดพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณ์ เรื่องของการชดเชยมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยกำหนดรูปแบบการจัดหาเป็นแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล หรือจีทูจี ซึ่งการเจรจาทุกท่านขั้นตอนกับสวีเดนได้ข้อยุติแล้ว
พล.อ.อ.พันธ์ภักดี กล่าวว่า ขอให้ความมั่นใจว่าโครงการจัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E/F ดำเนินการด้วยความรอบคอบ มีประสิทธิภาพ และตรวจสอบได้ ตลอดจนสนับสนุนชดเชยการนำเข้ายุทโธปกรณ์ ตามนโยบายของรัฐบาล เกิดความคุ้มค่าสูงสุดต่องบประมาณที่ได้รับจากภาษีของประชาชน โดยเป็นเครื่องที่มีสมรรถนะสูง ใช้ปกป้องอธิปไตยและรักษาผลประโยชน์ของชาติ สามารถตอบสนองต่อภัยคุกคามตามสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี มีประสิทธิภาพ
ขณะที่ พล.อ.อ.เสกสรร คันธา ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มจัดหาที่ 4 เครื่องก่อน ในกรอบเวลา 5 ปี คือ 2568-2572 วงเงิน 19,500 ล้านบาท โดยมีข้อเสนอหลัก หรือเมนแพ็กเกจ คือเครื่องบินกริพเพน E 1 ที่นั่ง 3 เครื่อง และเครื่องบิน F 2 ที่นั่ง 1 เครื่อง พร้อมระบบรองรับ รวมทั้งระบบปฏิบัติการสงครามอิเล็กทรอนิกส์ สามารถใช้อาวุธอากาศสู่อากาศระยะไกลกว่าสายตาแบบ Meteor รวมถึงอาวุธอื่น ๆ และระบบสนับสนุนอุปกรณ์ภาคพื้นและอะไหล่ ขณะเดียวกันยังรวมถึงการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่และนักบิน

ด้าน พล.อ.อ.คิด ควรสดับ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารอากาศ ได้ย้ำถึงนโยบายชดเชยการนำเข้า หรือ Offset Policy ว่า รวมทั้งหมด 14 รายการ เป็นข้อเสนอชดเชยทางตรง 7 รายการ เช่น Link -T เพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีอย่างอิสระ ซึ่งสามารถขยายผลร่วมปฏิบัติการกับเหล่าทัพอื่นได้โดยไม่มีข้อจำกัด และการส่งเสริมอุตสาหกรรมการบิน ส่วนข้อเสนอทางอ้อมอีก 7 รายการ เช่น การส่งเสริมการลงทุน และการพัฒนาทางไซเบอร์
ส่วน พล.อ.ต.พูนศักดิ์ ปิยะรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน กองทัพอากาศ ชี้แจงขั้นตอนการจัดซื้อหลังจากนี้ ว่า ที่ผ่านมาได้ดำเนินการตามระเบียบกระทรวงกลาโหม ว่าด้วยวิธีการรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยกองทัพอากาศจะเสนอเรื่องให้กองทัพไทยวางแผนภายในต้นเดือน มิ.ย.นี้ คาดว่ากองทัพไทยจะเสนอเรื่องให้กับกระทรวงกลาโหมได้กลางเดือน มิ.ย. โดยจะดำเนินการควบคู่ไปกับการส่งร่างสัญญาให้กับสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ เพื่อพิจารณาประเด็นที่เกี่ยวกับข้อกฎหมายต่าง ๆ คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในกลางเดือน มิ.ย.นี้เช่นกัน
ขณะเดียวกันจะส่งเรื่องให้สำนักงบประมาณเพื่อตรวจสอบ โดยจะได้งบประมาณภายในเดือน มิ.ย.นี้ และกระทรวงกลาโหม จะส่งเรื่องต่อสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อนำเข้าสู่ ครม.ภายในวันที่ 15 ก.ค.2568 ภายหลังเห็นชอบให้กองทัพอากาศดำเนินการ คาดว่าจะลงนามได้ในช่วงปลายเดือน ส.ค.นี้
นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เรียนเชิญนายกรัฐมนตรีเยือนประเทศสวีเดนอย่างเป็นทางการ พร้อมกับการลงนามความร่วมมือและเป็นพันธมิตรของ 2 ประเทศต่อไป
อ่านข่าว : วิเคราะห์ปมชายแดนไทย-กัมพูชา ไร้กลยุทธ์ป้องอธิปไตย?
"กองทัพบก" เช็กกำลังพร้อมรบ รองรับสถานการณ์ชายแดนตะวันออก
รัฐบาลไทยย้ำปกป้องอธิปไตย-แก้ปัญหาชายแดน "ไทย-กัมพูชา" สันติวิธี