วันนี้ (6 มิ.ย.2568) ที่อาคารรัฐสภา นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม กล่าวถึงสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา ว่า ตอนนี้ต้องดูการตอบสนองของทางกัมพูชา เพราะตอนแรกเรารับทราบว่า เขาจะไม่เข้าร่วมการเจรจาในกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ แต่เขาก็เปลี่ยนใจเข้าร่วม แต่จะไม่พูดหรือหารือ เรื่องข้อพิพาทตรงช่องบก เพราะสภาฯ ของเขาได้มีการตัดสินใจยื่นฟ้องศาลโลก ด้วยมติ 182 เสียงไปแล้ว จึงอยากรู้ว่าทางการไทยจะมีการเตรียมความพร้อม ในการประชุม JBC อย่างไร จะไปพูดอะไรกับเขา รวมถึงเรื่อง 30 จุดที่เป็นข้อพิพาทชายแดนไทยด้วย
ส่วนทางกัมพูชาจะยอมอ่อนข้อให้ไทยหรือไม่ หลังการพูดคุย นายกัณวีร์มองว่า หากดูการจัดการในฝ่ายบริหาร และทางสภานิติบัญญัติของกัมพูชา ค่อนข้างจะแรงพอสมควร ซึ่งครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่า กัมพูชาให้ความสำคัญมาก ๆ เร่งรัดกระบวนการค่อนข้างจะรวดเร็ว ไปถึงศาลโลกโดยทันที ทั้งที่ยังไม่ได้มีการพูดคุยกับไทย และใช้เวลาเพียงไม่กี่เดือน ที่ทำให้สถานการณ์ขึ้นจากระดับ 0 ไปถึง 80- 90
ดังนั้นจึงมองว่า น่าจะมีประเด็นบางอย่างที่เกิดขึ้นภายในรัฐบาลกัมพูชาด้วย รวมไปถึงการเมืองภายในเรียกร้องความนิยม และอย่าลืมว่า ฮุน มาเนต คือ ผบ.ทบ.ในสมัยที่มีข้อพิพาทเขาพระวิหาร และเป็นคนนำยิงต่อสู้กับฝั่งไทย และตอนนี้เขาขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว อาจจะใช้ประเด็นนี้ ดึงความสนใจการเมืองภายในกัมพูชา ดังนั้นประเทศไทยต้องวางจุดยืนให้ชัดเจนว่า เราจะยอมหรือไม่ยอมได้แค่ไหน
นายกัณวีร์ กล่าวต่อว่า หากดูท่าทีของรัฐบาลไทย การตั้งการ์ดน่าจะหลวมตั้งแต่แรก ถ้าเปรียบเทียบกับรัฐบาลฝั่งกัมพูชา ค่อนข้างจะเบากว่าเขาเยอะ แต่ในทางข้อมูลตนมั่นใจว่ากระทรวงกลาโหม สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือสมช. น่าจะมีข้อมูลเยอะอยู่แล้ว แต่การแสดงออกของฝ่ายบริหารค่อนข้างที่จะเบาๆ และน่าจะเข้มแข็งมากกว่านี้ และควรจะชัดเจนว่าจะดำเนินการอย่างไร
หลังจากการพูดคุยจะทำอย่างไรต่อไป ต้องเตรียมพร้อมให้เสร็จเพราะเสร็จจาก JBC แล้วจะไป คณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ในวันที่ 16-20 มิ.ย.นี้ ดังนั้น รัฐบาลต้องมี Road Map ให้ชัด
นายกัณวีร์ระบุว่า ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลชินวัตร กับฮุน เซน มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานการณ์นี้แน่นอน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จะต้องเริ่มจากโครงสร้างระบบความสัมพันธ์ทางทูตก่อน แต่ขณะนี้กลายเป็นพีระมิดกลับหัว นำความสัมพันธ์ส่วนตัวของครอบครัวมาเป็นการนำ
อย่างที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี บอกชัดเจน ว่า มีการพูดคุยกันเป็นประจำ แต่การพูดคุยกันเป็นประจำไม่ใช่การแก้ปัญหา ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากยิ่งขึ้น และความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้งสองครอบครัว อาจจะทำให้เราลืมความสัมพันธ์ในบริบทเชิงโครงสร้าง
นายกัณวีร์ ยังยอมรับว่า ตอนนี้มีหลายคนวิเคราะห์เรื่องของคดีความที่จะเกิดขึ้น ในวันที่ 13 มิ.ย.นี้ จะมีเรื่องและนายทักษิณต้องไป ทำให้ท่าทีของรัฐบาลตอนนี้ ดูเหมือนยอมเขาเหลือเกิน ขณะที่ฝั่งกัมพูชาก็รุกเร้าตีกลองรบ แต่ฝั่งเราดูเงียบๆ จึงมีการประเมินกันไปต่าง ๆ นานา
แต่ในมุมมองของตนมองเรื่องของความพร้อมในการพูดคุยของฝั่งไทยมากกว่า ที่เรายังมีความพร้อมไม่เต็มร้อย ฝั่งกัมพูชารุกคืบเข้ามาแล้ว พื้นที่โนแมนแลนด์ มองจุดยืนของไทยจะทำอย่างไรในการที่เขาเข้ามารุกคืบ แล้วจะทำอย่างไรให้ทหารกัมพูชาออกไปจากพื้นที่ดังกล่าว ตนมองในประเด็นนี้มากกว่า
แต่ในการประเมินสถานการณ์ทางการเมือง ก็อาจจะมองว่า เป็นไปได้ที่คุณทักษิณกังวล ว่าถ้าเกิดทำอะไรออกไปแล้ว อาจจะทำให้ฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะฮุนเซน ฮุนมาเน็ต ไม่พอใจ อาจจะทำให้ไม่สามารถเดินข้ามไปฝั่งกัมพูชาได้ หากมีอะไรก็ตามเกิดขึ้น นี่เป็นการประเมินของนักวิเคราะห์ทางการเมืองไป ถามว่ามีความเป็นไปได้ไหม ก็อาจเป็นความเป็นไปได้แต่จะร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ผมว่ายังไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์
เมื่อถามย้ำว่า ท่าทีรัฐบาลไม่ได้หมายถึงว่า เรายอมกัมพูชาใช่หรือไม่ นายกันวีร์กล่าวว่า ดูจากท่าทีของรัฐบาลแล้ว ก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขายอม ท่านนายกฯ ก็มาร้องเพลงชาติไทยเรียบร้อยแล้ว เราไม่ได้ยอมทางฝั่งกัมพูชาอย่างแน่นอน แต่มันก็มีความจำเป็นที่จะต้องเตรียมข้อมูลในการเจรจา
อ่านข่าว : "ภูมิธรรม" เผยหารือ "เตีย เซยฮา" เสนอกัมพูชาถอนทหารจากจุดปะทะ 200 เมตร
"ผบ.เหล่าทัพ" ประชุมวาระเฉพาะกิจ คาดปมชายแดนไทย-กัมพูชา
ชื่นมื่น! "ทรัมป์" ต่อสายคุย "สี" ประเด็นการค้า-รับปากเยือนจีน