การกลับจากสวิสของนายอนุทิน ชาญวีรกูล มาพร้อมคำประกาศไม่มีปรับ ครม.ในส่วนพรรคภูมิใจไทย ยังย้ำข้อตกลงเดิม ในวันดื่มช็อกมินต์ ที่พรรคเพื่อไทย หลังถูกเชิญไปร่วมครม. ไม่ใช่ไปขอร่วมเอง
ยึดถือคำสัญญาสุภาพบุรุษมีต่อกัน ไม่ใช่จะมากลับคำเอาแบบนี้
ทำเอาสะดุ้งไปทั้งพรรคเพื่อไทย ไม่คิดว่าจะเจอไม้แข็ง เพราะเพิ่งมีข่าวพรรคภูมิใจไทยยื่นข้อเสนอ 2 แนวทางให้เลือก หากจะยึดเก้าอี้ มท.1
จากเดิมเสมือนยอมศิโรราบต่อการทวงคืนมหาดไทยโดย “นายใหญ่” นายทักษิณ ชินวัตร ที่ทวงคืนผ่านหน้าสื่อแบบไม่อ้อมค้อมกันแล้ว
ที่ไหนได้กลับเจอน้ำเสียงเข้มทวงสัญญาช็อกมินต์ ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทยขณะนั้น ดื่มแล้วดื่มอีกหลายแก้วจนน้ำตาลขึ้น
เป็นการสวนกลับในจังหวะที่รัฐบาล นำโดยพรรคเพื่อไทย กำลังเจอกับมรสุมลูกใหญ่ ความขัดแย้งไทย-กัมพูชาที่ช่องบก จ.อุบลฯ และบานปลาย ถึงขั้นกัมพูชาจะไม่ยอมนำเรื่องสู่เวทีเจบีซี 14 มิ.ย. อ้างจะนำเข้าสู่ศาลโลกพร้อมปราสาทอีก 3 หลัง
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น กำลังโดนวิพากษ์หนัก เรื่องจุดยืน รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ที่ดูจะเกรงอกเกรงใจกัมพูชามาก แทนที่จะแสดงภาวะความเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง เด็ดขาด ยึดผลประโยชน์ของประเทศเหนืออื่นใด
นายอนุทินได้ทำในสิ่งตรงกันข้าม โดยภารกิจแรก หลังกลับถึงประเทศคือ ลงพื้นที่พร้อมเรียกประชุมผู้ว่าฯ 7 จังหวัด และนายอำเภอสั่งกำชับเข้มในฐานะแนวหลัง
ตอกย้ำไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่มิลเดียว ทั้งยังจับไมค์ร้องเพลงปลุกใจส่งกำลังใจให้ทหารหาญ นอกเหนือจากระดมทั้งรัฐมนตรี สส.พรรคของพรรค ติดแฮชแท็ก #ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด
เรียกว่าปาดหน้าดึงคะแนนนิยมในยามที่คนไทยต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันได้แบบเต็มๆ โดยไม่สนใจรัฐมนตรี และแกนนำเพื่อไทย ที่ออกโรงสวนกลับเรื่องปรับครม. เป็นอำนาจของนายกฯ แพทองธาร เมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่งก็ต้องมีประเมินและปรับ ครม. คนอื่นไม่มีสิทธิ์ห้าม
หนุนเชียร์แนวทาง “นายใหญ่” ทวงคืนมหาดไทยเต็มที่ แม้ว่านายกฯ ยังไม่อยากปรับคณะรัฐมนตรี เพราะเกรงจะกระทบต่อการทำงานของรัฐมนตรีหลายคน ขณะเดียวกัน ต้องระมัดระวังข้อกล่าวหา “ไม่ใช่ผู้มีอำนาจจริงในรัฐบาล” แค่คอยทำตามนายใหญ่ชี้นำ
กลายเป็นว่า คนในพรรคและนอกพรรครอฟังและเข้าหา “นายใหญ่” ดูจะมีเพียงนายอนุทินที่อ้างจะรอฟังจากนายกฯ และเป็นคนยืนยันว่า ยังไม่มีสัญญาณปรับครม.จากนายกฯ
อย่างไรก็ดี เรื่องการเดินหมากรับการปรับ ครม.ของพรรคภูมิใจไทย ก็ไม่ใช่แบบสะเปะสปะ เพราะเรื่องคูเหลี่ยมการเมืองของ “ครูใหญ่” พรรคภูมิใจไทยไม่เป็นสองรองใคร
ขณะที่การสร้างพันธมิตรที่มีอยู่ให้เข้มแข็งขึ้น และแสวงหาเพื่อนใหม่เพื่อประโยชน์ทางการเมือง จึงได้เห็นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าการโพสต์ภาพนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ไปเยี่ยมไข้ที่ รพ.ของนายอนุทิน เมื่อครั้งไปผ่าตัดเลนส์ตาเมื่อกลางเดือนพฤษภาคม พร้อมข้อความระบุชัดว่าพูดคุยกันหลายเรื่องหลายชั่วโมงจนพยาบาลต้องจับแยก สะท้อนนัยทางการเมืองที่มองข้ามไม้ได้
และเป็นคำอธิบายในตัวสำหรับข่าวพบปะกันระหว่างแกนนำ 2 พรรคภูมิใจไทย (ภท.) กับรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)
ต้องไม่ลืมว่ารัฐมนตรีและแกนนำสำคัญในพรรครวมไทยสร้างชาติ มาจาก กปปส.ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นผู้นำเมื่อครั้งไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์
และหลังจากไปเยี่ยมไข้นายอนุทินไม่นาน รทสช.ก็มีข่าวนายสุชาติ ชมกลิ่น ไปกินข้าวกับ สส.และแกนนำในพรรค ถึง 2 วงติดกัน ไล่เลี่ยกับข่าวเตรียมโบกมือลา รทสช.
หรือกรณีนายอนุทินไปให้สัมภาษณ์สื่อทีวีช่องดัง ในทำนองไม่ปิดประตูจับมือกับพรรคประชาชน หากนโยบายไม่ขัด
สะท้อนให้เห็นการขยับหาพันธมิตรเพิ่มเติม รวมทั้งพลพรรคค่ายสีส้ม ที่ยังคงเชื่อว่าจะมาแรงในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่มีอะไรที่พรรคภูมิใจไทยจะต้องกลัว แม้แต่การแข็งข้อกับพรรคเพื่อไทย เพราะถึงอย่างไร พรรคเพื่อไทยยังไม่กล้าเขี่ย ภท.ออกจากรัฐบาลแน่
แค่เฉพาะหน้า พ.ร.บ.งบ 69 ทั้งวาระ 2-3 และต้องผ่านวุฒิภา และพรบ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่เพื่อไทยหมายมั่นปั้นมือจะให้ผ่านให้ได้
จึงยังต้องใช้บริการพรรคภูมิใจไทยต่อไป แม้จะไม่ค่อยชอบหน้ากันสักเท่าไหร่ ก็ตามที
วิเคราะห์ : ประจักษ์ มะวงศ์สา บรรณาธิการอาวุโส
อ่านข่าว : "พล.อ.สุจินดา คราประยูร" นายกฯ คนที่ 19 ถึงแก่อสัญกรรมสิริอายุ 91 ปี
แท็กที่เกี่ยวข้อง: