วันนี้ (11 มิ.ย.2568) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวพัฒนาการสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชาโดยระบุว่า ในการที่จะเจรจากับฝ่ายกัมพูชาในเวที เจบีซี ได้มอบ 3 นโยบายกับคณะผู้แทนการเจรจาครั้งนี้ ได้แก่
คือ 1.อยากให้คณะผู้แทน โดยคณะ กมธ.เจบีซี โน้มน้าวกัมพูชาให้ตระหนักว่า ได้แก้ไขและลดมาตรการแทรกแซงในพื้นที่ไปแล้วในระดับหนึ่ง ขอบคุณทหารที่ช่วยเจรจาในการลดการเผชิญหน้า อยากให้ขยายผลให้ กมธ.ทั้ง 2 ประเทศในการเจรจาและลดความตึงเครียดไปได้ อยากเห็นการอยู่ร่วมกันในพื้นที่โดยสันติอย่างยั่งยืน โดยมีกลไกการเจรจามีทั้งเจบีซี อาร์บีซี และ จีบีซี ทั้ง 3 กลไกมีประสิทธิภาพและอยากเห็นการต่อยอด ขยายผลหลังทหารลดมาตรการเข้มงวด เพื่อให้พื้นที่มีความสงบและสันติสุข ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้นำ 2 ชาติได้พูดคุยกันมาตลอด
2.การเจรจาในวันที่ 14 มิ.ย.นี้เพื่อให้มีความชัดเจนเรื่องเส้นเขตแดนเพื่อให้ 2 ฝ่ายเข้าใจชัดเจนร่วมกัน นำไปสู่การแก้ไขปัญหาเรื่องเขตแดนอย่างยั่งยืนว่าเส้นเขตแดนอยู่ตรงไหน
3.ขอให้ประธานคณะพูดคุยเจบีซีของไทยยึดไว้คือ การเจรจาต้องยืนหยัดในอธิปไตยของปFระเทศไม่ยอมเสียดินแดนเด็ดขาด และยึดกลไกของการเจรจาของการแก้ไขปัญหาระหว่างกันภายใต้กรอบองค์การสหประชาชาติและนานาชาติ โดยกลไกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ กลไกทวิภาคี ทั้งนี้จะยังคงยืนยันไม่รับอำนาจศาลโลกตั้งแต่ปี 2503 และไม่รับเด็ดขาด และการแก้ไขปัญหาระหว่างกันใช้กรอบหารือทวิภาคี เพราะมีประสิทธิภาพและเหมาะสมมากที่สุด
4.ขออนุญาตเรียนให้ทราบว่า ตั้งแต่เกิดปัญหาชายแดน นายกฯได้ สั่งการให้ทั้งกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการต่างประเทศ บูรณาการท่าทีและใช้ท่าทีร่วมกันในการแก้ปัญหา ตั้งแต่ต้นในกรอบของฝ่ายทหารก็สอดรับทำให้มาตรการทางการทูตมีประสิทธิภาพ และกลไกการทูตระหว่างประเทศ โดย กต.ก็ส่งเสริมให้การเจรจาของฝ่ายทหารบรรลุผล ดังนั้นคิดว่ากลไกที่ถูกต้อง คือ ทวิภาคี ที่สามารถลดความตึงเครียดได้ และลดการเผชิญหน้าได้
เป้าหมายของการเจรจา คือ การขยายผลให้บริเวณที่ชัดเจนให้อยู่ร่วมกัน หรือมีกิจกรรมที่สันติ ไม่ก่อปัญหากระทบกระทั่งกันอีก
นายมาริษ ยังกล่าวว่า หลังบูรณาการกับกระทรวงกลาโหมอย่างใกล้ชิดเราได้ใช้มาตรการดำเนินการทางการทูตตามหลักสากลอย่างเข้มข้น และ สามารถเป็นหลักปฏิบัติตามวัฒนธรรมที่นานาอารยประเทศใช้กันทุกประการ จากน้อยไปหามาก ซึ่งการดำเนินการมาตรการทางการทูตดำเนินการตามหลักสากลตามที่นานาชาติใช้กันอย่างสมบูรณ์
ขอให้พี่น้องมั่นใจว่ากองทัพไทยมีศักยภาพที่จะบริหารสถานการณ์ในพื้นที่ที่มีการกระทบกระทั่งกันได้ดีที่สุด การใช้นโยบายการต่างประเทศและการทูตเน้นส่งเสริมทั้ง 2 ด้าน ทั้งการทหารและมาตรการทางการทูตสอดรับกันให้เกิดประสิทธิภาพในการแก้ไขระหว่างประเทศและใช้กลไกทวิภาคี ซึ่งมีหลายกลไกให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
นานมาริษตอบคำถามผู้สื่อข่าวโดย ระบุว่า ท่าทีของไทยต่อกรณีที่กัมพูชาจะส่งเรื่องไปที่ศาลโลกนั้น นายมาริษ ยืนยันกลไกที่ดีที่สุดและมีประสิทธิภาพมากที่สุด คือ กลไกของการแก้ไขปัญหาแบบทวิภาคี ซึ่งมีทั้งคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC), คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค (RBC) และคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (GBC) ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากที่สุด ขณะที่ไทยไม่ได้ยอมรับอำนาจศาลโลกมาตั้งแต่ 2503 จนถึงปัจจุบัน
กลไกที่ดีที่สุดคือการเจรจาทวิภาคี ไม่ใช่การเอาไปที่ศาลโลก
นายมาริษ กล่าวว่า กระทรวงการต่างประเทศมีปฏิสัมพันธ์กับประเทศต่าง ๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะการชี้แจงจุดยืน และอธิบายข้อเท็จจริงทั้งสมาชิกอาเซียน และมิตรประเทศ รวมทั้งพยายามโน้มน้าวให้เข้าว่าการแก้ปัญหาระหว่างสองประเทศจะใช้กลไกทวิภาคี ยังไม่มีความประสงค์ให้ประเทศอื่น ๆ หรือองค์กรอื่นใด เข้ามาช่วยแก้ปัญหา
"การแก้ไขปัญหาตามกรอบของสหประชาชาติมีหลายวิธี และทุกประเทศก็ใช้การเจรจาทวิภาคี เราไม่จำเป็นต้องให้ประเทศที่ 3 หรือองค์กรที่ 3 เข้ามาช่วยแก้ปัญหา"
ทั้งนี้ ภายหลังเจรจาในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ โฆษก กต.จะแถลงข้อมูลรายละเอียดผลการเจรจา
อ่านข่าว : "แพทองธาร" ลงพื้นที่สุรินทร์ ถก 7 ผู้ว่าฯ ชายแดนไทย-กัมพูชา
"กัมพูชา" ไม่ลดท่าทียื่นกรณี 3 ปราสาทให้ศาลโลกพิจารณา แม้จ่อถูกตัดไฟ - เน็ต
เปิดเบื้องหลัง ทหารไทยถกกัมพูชา ปรับกำลัง เพราะไทยจ่อตัดไฟ 9 จุด