วันนี้ (12 มิ.ย.2568) การประชุมแพทยสภาถูกจับตามองอย่างสูง หลังนายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.สาธารณสุข ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมประชุมเพื่อชี้แจง หลังมีการใช้สิทธิ์วีโต้ ต่อมติเดิมของแพทยสภา ซึ่งเชื่อมโยงกับคดีชั้น 14 และสะท้อนถึงปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างวิชาชีพแพทย์กับโลกการเมือง
รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว รองคณบดี คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ ม.บูรพา ระบุว่าเรื่องนี้ถูกทำให้ "กลายเป็นการเมือง" ไปแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่มีวิจารณญาณ ยังตั้งคำถามว่านายทักษิณ ชินวัตร ป่วยจริงหรือไม่ และหากป่วยจริง มีความรุนแรงมากเพียงใด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า ผู้ที่ยังเชื่อว่านายทักษิณป่วย มีอยู่ไม่กี่กลุ่ม ได้แก่ คนตาบอด คนหูหนวก และคนที่อยู่นครบุรีหญ้าหวาน ขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นภายใต้ "ความอัปลักษณ์ของระบบราชการและกระบวนการยุติธรรม"
นอกจากนี้ การใช้สิทธิ์วีโต้ของนายสมศักดิ์ ซึ่งเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับนายทักษิณ ในฐานะคนที่มีบุณคุณ ที่สามารถอำนวยชัยให้เป็น รมว.สาธารณสุข ยิ่งตอกย้ำว่าประเด็นนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพ แต่เกี่ยวข้องกับประเด็นการเมือง
หากสำเร็จ เพิ่มต้นทุนทางการเมือง
หากนายสมศักดิ์ สามารถผลักดันให้การวีโต้ประสบความสำเร็จได้จริง รศ.ดร.โอฬาร กล่าวว่าจะยิ่งตอกย้ำความสามารถทางการบริหาร และทำให้ต้นทุนทางการเมืองของนายสมศักดิ์สูงขึ้นอย่างมาก เป็นผลงานต่อเนื่องจากนโยบายเดิม เช่น การที่ทำให้นักโทษเกินอายุ 70 ปี สามารถไปจองจำในเคหะสถาน แต่หากล้มเหลว ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักในเชิงหน้าที่โดยตรง เนื่องจากยังอยู่ในขอบเขตอำนาจของ รมว.สาธารณสุข
ประชุมแพทยสภา จุดชี้ขาดศักดิ์ศรีวิชาชีพ
รศ.ดร.โอฬาร เน้นว่า การประชุมแพทยสภาครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสสำคัญที่จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นอิสระของวิชาชีพแพทย์ หากสามารถยืนหยัดตามหลักจริยธรรมโดยไม่ยอมให้การเมืองแทรกแซงได้ ก็จะช่วยรักษาความน่าเชื่อถือของสถาบันและบุคลากรทางการแพทย์ทั้งระบบ ไม่ใช่แค่ในมิติของคดีนายทักษิณเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาพลักษณ์โดยรวมของแพทย์ทั่วประเทศ
ประโยชน์สำคัญคือทำให้ศักดิ์ศรี สถาบันแพทยสภาและต้นทุนของแพทย์ สามารถรักษาความน่าเชื่อถือ ความน่าเชื่อมั่น ไว้ได้ เพราะแพทยสภาทั้ง 70 ท่าน แต่ละคนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในวงการแพทย์ มีต้นทุนทางสังคมสูง และการตัดสินของทั้ง 70 ท่าน ผมคิดว่าแม้จะชอบ ไม่ชอบนายทักษิณ แต่ด้วยสาขาวิชาชีพ การพิจารณาอะไรที่เอาเงื่อนไขส่วนตัวมาพิจารณาคงจะเป็นไปได้ยาก
เมื่อการเมืองบุกกระทรวงหมอ ทำไมไม่เข็ด ?
แม้ความขัดแย้งระหว่างฝ่ายการเมืองกับบุคลากรทางการแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข มีมาตั้งแต่ยุคของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปจนถึง พล.อ.ประยุทธ์ แต่ฝ่ายการเมืองยังคงพยายามเข้าไปแทรกแซงโดยไม่เข็ดหลาบ อ.โอฬาร มองว่าเหตุผลหลักคือการมอง "โอกาส" จากแพทย์บางกลุ่มที่มีความทะเยอทะยานทางตำแหน่ง และพร้อมแลกความก้าวหน้าส่วนตัวกับการให้ความร่วมมือกับนักการเมือง
นักการเมืองต้องคิดแบบนักการเมือง คือเชื่อว่าอำนาจที่เหนือกว่าคงจะตอบโจทย์ได้ว่าทุกคนอยากจะเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน การที่มีอำนาจแบบนี้ เข้าไปแทรกแซง แม้ภาพรวมหมอไม่ค่อยเห็นด้วยกับท่าทีนักการเมือง แต่ก็มีหมอส่วนหนึ่งที่อยากจะเติบโต เพราะฉะนั้นการแทรกแซงเข้าไปก็มีโอกาสทำได้
แรงสะสมความไม่พอใจ จุดเริ่มต้นเคลื่อนไหวใหญ่ ?
อ.โอฬาร เปรียบเทียบว่าความไม่พอใจคือ "การถือจิ๊กซอว์" ที่ถือคนละตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแทรกแซงสถาบันแพทย์ การแสดงบทบาทนำของนายทักษิณที่บั่นทอนเสถียรภาพรัฐบาล ท่าทีในการขับเคลื่อนกาสิโน การแก้ปัญหาเศรษฐกิจล้มเหลว หรือคดีคอร์รัปชัน ทั้งหมดนี้เมื่อรวมเข้าด้วยกัน จะกลายเป็น "มวลวิกฤต" ที่กดดันรัฐบาลของ น.ส.แพทองธาร อย่างหนัก
ความไม่พอใจมีแน่นอน เหมือนกับจิ๊กซอว์ที่ถือคนละตัว บางคนที่รับไม่ได้กับสถาบันแพทย์ถูกแทรกแซง ก็จะถือจิ๊กซอว์ตัวหนึ่ง บางคนรับไม่ได้ที่คุณทักษิณแสดงบทบาทภาวะการนำจนทำให้รัฐบาลทำงานไม่ได้อีกตัวหนึ่ง บางคนรับไม่ได้กับท่าทีในการขับเคลื่อนกาสิโน บางคนรับไม่ได้กับการแก้ปัญหาที่ล้มเหลว อย่างเรื่อง SME ภาคใต้ ปัญหาชายแดนกัมพูชา บางคนรับไม่ได้กับปัญหาคอร์รัปชัน
ทุกคนถือความไม่พอใจคนละตัวแต่ถ้าเอาความไม่พอใจทั้งหมดมารวมกัน กลายเป็นมวลใหญ่ของความไม่พอใจที่มีต่อรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ซึ่งถามว่านำไปสู่ขวบนการขับไล่ หรือไม่นั้น อาจจะยังไกลเกินไป แต่ทั้งหมดจะเป็นแรงกดดัน และสะสมความไม่พอใจของประชาชนที่หนักขึ้นในทุกวัน รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเดียว กล่าวทิ้งท้าย
อ่านข่าวอื่น :
เร่งช่วย 242 ชีวิต เครื่องบิน "แอร์อินเดีย" ตก หลังบินขึ้น 5 นาที
แท็กที่เกี่ยวข้อง: