ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

จับตา “การเมือง” ร้อนแรงกระทบงบปี69 ทิสโก้ฯ ชี้ฉุดจีดีพีวูบ 1%

เศรษฐกิจ
17:57
112
จับตา “การเมือง” ร้อนแรงกระทบงบปี69 ทิสโก้ฯ ชี้ฉุดจีดีพีวูบ 1%
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทิสโก้ ประเมินเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง เข้าสู่ภาวะถดถอย หลังเครื่องยนต์ส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอ จับตาการเมือง คาดยุบสภาฯ กระทบงบปี 69 ฉุดจีดีพี 1% ส่วนเงินบาทสิ้นปีอ่อนค่า 35 บาทต่อดอลลาร์

วันนี้ ( 23 มิ.ย.2568) นายเมธัส รัตนซ้อน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ กลุ่มทิสโก้ หรือ ESU กล่าวว่า แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังมีความเสี่ยงสูงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเทคนิค (Technical Recession) เนื่องจากจีดีพีติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน เพราะปัจจัยความไม่แน่นอนทั้งในและต่างประเทศ

เครื่องยนต์เศรษฐกิจส่งออก-ท่องเที่ยวชะลอตัวลง จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จะเหลือเพียง 33.5 ล้านคน ลดลง 5.6% จากปีก่อน หลักๆจากนักท่องเที่ยวจีนที่ยังไม่กลับมาซึ่งคาดว่าจีดีพีปี 2568 ประเมินขยายตัว 1.6% และปี 2569 ขยายตัว 1.4%

อย่างไรก็ดี การเมืองยังเป็นปัจจัยความเสี่ยงที่ต้องติดตามในช่วง 1-2 สัปดาห์ กรณีพื้นฐาน หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องจากสมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีคำสั่งให้นายกรัฐมนตรีหยุดปฏิบัติหน้าที่ และมีการเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่ไม่มีการยุบสภาฯ การเบิกจ่ายได้ และงบประมาณปี 2569 ไม่สะดุด ซึ่งกรณีนี้จะกระทบต่อจีดีพีไม่มากราว 0.1-0.2%

และกรณีเลวร้าย คือ มีการยุบสภาก่อนพิจารณางบประมาณปี 2569 แต่คาดว่าจะกระทบจีดีพีค่อนข้างราว 1% ของจีดีพีในช่วง 1-2 ปีนี้

น.ส.แพทองธาร  ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทย

นโยบายการคลัง จะเป็นเพียงปัจจัยเดียวที่จะหนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจได้บ้าง หากรัฐบาลสามารถจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน้นโครงการที่มีตัวทวีคูณทางการคลังสูง และเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนให้ได้มากกว่า 80% ซึ่งจะช่วยชดเชยแรงกดดันจากภาคเศรษฐกิจอื่นที่กำลังมีปัญหาได้

ส่วนงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจเม็ดเงิน 1.57 แสนล้านบาท มองว่า คิดว่าไม่เพียงพอ เพราะไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน ขุดคูคลอง ควรนำใช้ในโครงการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) และการรับประกันสินเชื่อ เพื่อเสริมสภาพคล่องและพยุงไม่ให้เกิดคลื่นของการปิดกิจการและการเลิกจ้างที่อาจลุกลามบานปลายได้

ขณะเดียวกัน กำลังซื้อในประเทศกำลังซึม นักท่องเที่ยวหาย รัฐบาลควรเร่งกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศ เช่น โครงการคนละครึ่ง เพื่อเอาเงินลงสู่ระบบเศรษฐกิจ ซึ่งตัวเลขทวีคูณทางเศรษฐกิจมากกว่า 1%

อย่างไรก็ดี หากดูสัดส่วนเพดานหนี้สาธารณะของไทยมีข้อจำกัดมากขึ้น และเทียบหนี้สาธารณะโตสูงกว่าการเติบโตจีดีพี ซึ่งตัวเลขตั้งแต่ปี 2563 หนี้สาธารณะอยู่ 6 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 12 ล้านล้านบาท ขณะที่จีดีพีอยู่ที่ 13.7 ล้านล้านบาท เพิ่มเป็น 18.8 ล้านล้านบาท คาดว่าภายใน 1-2 ปี ต้องปรับเพดานหนี้สาธารณะจาก 70% อาจเป็น 80% ซึ่งหากมีการปรับเพดานมีความเสี่ยงลูกปรับลดเครดิตประเทศได้ จากปัจจุบัน BBB+ เนื่องจากรายจ่ายลดไม่ได้ รายได้เก็บไม่ได้ และขยายเพดานหนี้

จับตาการเมือง “ยุบ-ไม่ยุบสภา” หวั่นฉุด จีดีพี 1%

ความเสี่ยงการเมืองสำคัญมากที่ต้องจับตาในช่วง 7-14 วันนี้ มองว่าโอกาสที่จะยุบสภาประมาณ 5% ดังนั้นไม่คิดว่าจะมีการตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ เชื่อว่าระหว่างทางรัฐบาลจะทำงานจบเทอม หรือ ยุบสภาก่อนหรือหลังงบประมาณปี 69 แต่มองว่าจีดีพีปี 69 ที่ระดับ 1.6% มีความเหมาะสม แต่ก็มีความเสี่ยงด้านต่ำเรื่องการส่งออกจและท่องเที่ยว และภาษีทรัมป์ หาก Worst Case น่าจะโตต่ำ 0.6% ได้

สำหรับนโยบายการเงิน คาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (RP) อีก 2 ครั้ง ในการประชุมเดือนส.ค. และไตรมาสที่ 4/2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% เหลือ 1.25% ต่อปี และคาดว่าปี 2569 ปรับลดอีก 2 ครั้งในช่วงครึ่งปีแรก คาดอัตราดอกเบี้ยนโนบายจบอยู่ที่ 0.75% ต่อปี

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาท คาดว่าจะทยอยอ่อนค่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ไปแตะที่ระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ จากช่วงต้นปีเงินบาทแข็งค่าที่ระดับ 32.50-32.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากมีการเร่งส่งออกหนีสงครามการค้า

ด้านนายคมศร ประกอบผล หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ กล่าวว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาส 3 มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะ Mild Stagflation ซึ่งหมายถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง แต่เงินเฟ้อกลับเพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักจากการปรับขึ้นกำแพงภาษี และราคาน้ำมันที่พุ่งสูงจากความตึงเครียดในตะวันออกกลาง

นอกจากนี้ ผลกระทบจากการขึ้นภาษีทั่วโลกยังส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวลง ภาวะลักษณะนี้นับเป็นปัจจัยกดดันสำคัญต่อการลงทุน ทั้งในตลาดหุ้นและตลาดตราสารหนี้

นักลงทุนควรทยอยลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงและพันธบัตรระยะยาว และกระจายการลงทุนไปยังพันธบัตรระยะสั้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งลงทุนนอกตลาดสหรัฐฯ เช่น ยุโรป และญี่ปุ่น

สงครามการค้ายุค"ทรัมป์" แค่เริ่มต้น

ขณะที่นายธนภัทร ธนชาต ผู้ช่วยนักวิจัย ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ เปิดเผยว่า ทรัมป์ยังมีเครื่องมือทางกฎหมายอื่นที่สามารถใช้ตั้งกำแพงภาษีได้โดยไม่ต้องพึ่งพา IEEPA เช่น มาตรา 122 ซึ่งให้อำนาจในการตั้งภาษีอัตราสูงสุดที่ 15% หรือมาตรา 338 ที่ให้อำนาจตั้งภาษีกับประเทศที่เลือกปฏิบัติกับสินค้าของสหรัฐฯได้ในอัตราสูงสุดถึง 50% และแม้มาตรการดังกล่าวจะมีข้อจำกัดด้านระยะเวลา

แต่ถือว่าเพียงพอให้รัฐบาลใช้เป็นช่องทางตรวจสอบกลุ่มสินค้าที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของชาติ หรือประเทศที่ดำเนินนโยบายการค้าไม่เป็นธรรม ซึ่งขณะนี้สหรัฐฯ กำลังพิจารณาอยู่หลายกลุ่มสินค้า เช่น ยา เซมิคอนดักเตอร์ รถบรรทุก แร่ธาตุสำคัญ ทองแดง อุตสาหกรรมต่อเรือ และอาหารทะเล

สะท้อนว่าบริบทใหม่สงครามการค้าในยุคทรัมป์ยังเป็นเพียง จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่โลกไม่อาจหลีกเลี่ยง นั่นหมายถึง ในช่วงครึ่งหลังของปี เศรษฐกิจและการค้าโลกจะมีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง

โดยท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การค้าและการลงทุนทั่วโลกเผชิญกับความเสี่ยงมากขึ้น ขณะที่รัฐบาลหลายประเทศเริ่มปรับทิศทางนโยบายเศรษฐกิจใหม่ โดยหันมาสร้างความแข็งแกร่งจากภายใน เพื่อลดการพึ่งพาการเติบโตจากภายนอก

นอกจากนี้ ความเสี่ยงสงครามระหว่างอิหร่านและอิสราเอล โดยมีสหรัฐฯ เข้ามา มองว่า ผลต่อราคาน้ำมันยังน้อยอยู่ โดยกรณีพื้นฐาน (Based Case) มองว่า ราคาน้ำมันช่วงท้ายปี 2568 จะอยู่ที่ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เนื่องจากโอกาสจะปิดช่องแคบการส่งน้ำมันเกิดขึ้นได้น้อย

กรุงศรีฯชี้ เงินบาทเคลื่อนไหวกรอบ32.60-33.30

ด้าน กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 32.60-33.30 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาเงินบาทปิดอ่อนค่าที่ 32.80 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 32.43-32.94 บาท/ดอลลาร์ โดยเงินบาทแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 1 เดือนจากความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าเมื่อเทียบกับทุกสกุลเงินสำคัญ หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) คงดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ติดต่อกัน

โดยประธานเฟดระบุว่าทั้งเศรษฐกิจและตลาดแรงงานอยู่ในภาวะแข็งแกร่งและเฟดตั้งใจที่จะรอความชัดเจนเพิ่มเติมเกี่ยวกับนโยบายการค้าและการคลังที่ผลกระทบยังไม่แน่นอน อีกทั้งมองว่ากำแพงภาษีจะส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้น สะท้อนว่าเฟดไม่รีบที่จะกลับไปลดดอกเบี้ย

สำหรับค่ากลางประมาณการ Dot Plot ชุดใหม่บ่งชี้ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยอีกสองครั้งในปีนี้รวม 50bps อย่างไรก็ดี รายละเอียดของ Dot Plot ที่เสียงแตกมากขึ้น แสดงให้เห็นว่าทิศทางนโยบายจะขึ้นอยู่กับพัฒนาการทางเศรษฐกิจ ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ)พยายามลดแรงกดดันต่อพันธบัตรรุ่นระยะยาว ขณะที่ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) คงดอกเบี้ยตามคาด ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นและพันธบัตรไทยสุทธิ 9,727 ล้านบาท และ 13,367ล้านบาท ตามลำดับ

ราคาน้ำมันดิบพุ่งหนุนค่าเงินดอลลาร์

สำหรับภาพรวมในสัปดาห์นี้ คาดว่าราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นจะหนุนค่าเงินดอลลาร์ในระยะสั้นหลังสหรัฐฯเข้าไปเกี่ยวข้องโดยตรงกับการสู้รบในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ประธานเฟดจะแถลงต่อสภาวันที่ 24-25 มิถุนายน เรายังคงคาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปีนี้เมื่อมีสัญญาณตลาดแรงงานชะลอลงชัดเจนและผลต่อเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้าน้อยกว่าที่กังวล

อย่างไรก็ตาม ประธานเฟดระบุว่าต้นทุนพลังงานอาจสูงขึ้นจากความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ แต่ตั้งข้อสังเกตว่าช็อคด้านพลังงานมักไม่กระทบเงินเฟ้ออย่างยั่งยืน อนึ่ง เรามองว่าประมาณการล่าสุดของเฟดบ่งชี้ภาวะ stagflation ที่เศรษฐกิจชะลอตัวและเงินเฟ้อสูงขึ้นจะยังคงเป็นประเด็นลบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะกลาง

สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมวันที่ 25 มิ.ย.นี้ แต่โทนการสื่อสารจะปูทางสำหรับการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในระยะข้างหน้า ขณะที่ปัจจัยการเมืองเพิ่มความเสี่ยงด้านขาลงของเศรษฐกิจ ทางด้าน กระทรวงพาณิชย์รายงานมูลค่าส่งออกเดือนพฤษภาคม เติบโต 18.4% ซึ่งเป็นการเติบโตสูงสุดในรอบ 38 เดือน ส่วนยอดนำเข้าเดือนพ.ค.ขยายตัว 18.0% ส่งผลให้ไทยเกินดุลการค้า 1.12 พันล้านดอลลาร์

 อ่านข่าว:

สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้ารถยนต์ 25% กรุงไทยฯหั่นเป้าผลิตเหลือ 1.4-.1.45 ล้านคัน

ตลท.จับตาสงครามตะวันออกกลาง คาดตลาดผันผวนระยะสั้น

เริ่มแล้ว เจรจาภาษี "ไทย-สหรัฐฯ" พณ.ยันไม่ยอมเสียเปรียบ เน้นสร้างสมดุลการค้า