วิทยาลัยเกษตรฯ 12 แห่ง ไม่ได้โควตาเป็นปีที่ 2 ต้องปิดโรงงานผลิตนม มูลค่ารวมกว่า 200 ล้านบาท
สภาพโรงงานผลิตนมพาสเจอไรส์ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี (วษท.ลพบุรี) ที่สร้างและปรับปรุงด้วยงบประมาณรัฐกว่า 30 ล้านบาท และดำเนินการมานานกว่า 30 ปี เพื่อส่งเสริมการเรียนการสอนด้านการเกษตร ต้องถูกปิดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังไม่ได้รับสิทธิจำหน่ายโครงการนมโรงเรียน

ย้อนไปเมื่อปี 2567 ทางวิทยาลัยฯไม่ได้รับสิทธิ เพราะหลักเกณฑ์ที่ระบุว่า ต้องมีศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบและโคนมเป็นของตนเอง โดยมีแม่โครีดนมไม่น้อยกว่า 200 แม่ หรือมีโคนมที่สามารถผลิตปริมาณ น้ำนมดิบไม่น้อยกว่า 3 ตันต่อวัน ทำให้วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 14 แห่ง ไม่สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ เนื่องจากฟาร์มโคนมมีขนาดเล็ก สำหรับใช้ในการจัดการเรียนการสอน และจัดฝึกอบรมเท่านั้น

แม้จะได้รับผลกระทบ แต่ วษท.ลพบุรี ก็ตัดสินใจช่วยเหลือลูกจ้าง 8 คนของโรงงานนม โดยให้ย้ายไปทำงานส่วนอื่น เพื่อไม่ให้ตกงานกะทันหัน ขาดรายได้ดูแลครอบครัว เพราะแต่ละคนทำงานมานานหลายปี
และตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ลูกจ้างทุกคนได้เตรียมพร้อมดูแลสภาพโรงงาน ให้ผ่านการรับรองสถานที่ผลิตจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และ GMP จากหน่วยงานที่ดูแล และผ่านการรับรองจากกรมโรงงาน เพื่อโรงงานสามารถผลิตนมโรงเรียนที่มีคุณภาพ ผ่านมาตรฐานตามหลักเกณฑ์ของโครงการฯ และเรียกร้องให้ปรับเปลี่ยนหลักเกณฑ์โครงการนมโรงเรียน ปี 2568 โดยยึดเป้าหมายสนับสนุนสถาบันการศึกษา และเปิดโอกาสให้นักศึกษาได้เรียนรู้ฝึกประสบการณ์วิชาชีพ

ต่อมามติ ครม. 3 มี.ค.2568 กำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียน เพื่อสร้างศักยภาพ ความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษาในการผลิตนมในลำดับแรก ทางวิทยาลัยเกษตรฯ มั่นใจว่าจะได้รับการคุ้มครองให้เข้าร่วมโครงการ ผลิตนมโรงเรียนวันละ 4-5 ตัน ตามข้อเรียกร้อง
แต่เหมือนฟ้าผ่า เมื่อการประกาศหลักเกณฑ์โครงการนมโรงเรียน ปี 2568 ที่ปรับเปลี่ยนจากปี 2567 ท้ายที่สุด วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีลพบุรี และวิทยาลัยเกษตรฯ อีก 11 แห่ง ก็ไม่ได้รับสิทธิเป็นปีที่ 2 ซ้ำเติมผลกระทบ
ด้านตัวแทนนักศึกษา บอกว่า เสียดายโอกาสที่จะได้ร่วมเรียนรู้ฝึกประสบการณ์ทำงานในโรงงานผลิตนมพาสเจอไรส์ เพราะสาเหตุที่เลือกเรียนด้านนี้ ก็ตั้งใจว่า หากเรียนจบจะทำงานในฟาร์มปศุสัตว์ หรือทำฟาร์มของตัวเอง ที่สำคัญระหว่างเรียนยังสามารถหารายได้จากการทำฟาร์มและทำงานในโรงงานผลิตนมอีกด้วย

จารุตา อินทรกองแก้ว รอง ผอ.ฝ่ายแผนงานและความร่วมมือ วษท.ลพบุรี
จารุตา อินทรกองแก้ว รอง ผอ.ฝ่ายแผนงานและความร่วมมือ วษท.ลพบุรี
จารุตา อินทรกองแก้ว รอง ผอ.ฝ่ายแผนงานและความร่วมมือ วษท.ลพบุรี ระบุว่า ประกาศหลักเกณฑ์โครงการนมโรงเรียน ปี 2568 ที่ออกในเดือนพฤษภาคม ได้กำหนดให้
สถาบันการศึกษาที่จะเข้าร่วมโครงการนมโรงเรียน ต้องทำบันทึกข้อตกลง หรือเอ็มโอยู การซื้อขายนมโค เพื่อนำมาสมัครขอรับสิทธิ ซึ่งต้องทำตั้งแต่เดือน ต.ค.2567 แต่การสมัครโครงการนมโรงเรียน เปิดให้สมัครในเดือน พ.ค.2568 ซึ่งไม่มีความชัดเจนว่าสถาบันการศึกษาจะได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนหรือไม่ จึงไม่มีผู้ประกอบการรายใดกล้าทำเอ็มโอยูขายน้ำนมดิบให้สถาบันการศึกษา
จากหลักเกณฑ์นี้ วิทยาลัยเกษตรฯจึงไม่ได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน เสียโอกาสในการจัดเรียนการสอนด้านโคนม การแปรรูป การบริหารจัดการ และการทำตลาด
ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 มีนาคม 2568 เรื่องการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน รวมทั้งการกำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียน 4 ข้อ คือ
1.เพื่อให้นักเรียนทั้งประเทศได้ดื่มนมที่มีคุณภาพ
2.เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมสามารถผลิตขายน้ำนมโคที่มีคุณภาพได้
3.สร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ (องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย หรือ อ.ส.ค.) และสถาบันการศึกษา ในการดำเนินกิจการผลิตนม
4.ผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมได้รับการจัดสรรสิทธิและพื้นที่การจำหน่ายอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม

หากตามยึดตามมติ หรือหลักการนี้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 14 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งมีโรงงานผลิตนมพาสเจอไรส์ รวมมูลค่ากว่า 280 ล้านบาท และผลิตนมโรงเรียนมานานกว่า 30 ปี เชื่อว่าจะได้รับการจัดสรรสิทธิ หรือโควตาจำหน่ายนมโรงเรียน แต่ไม่เป็นเช่นนั้น
เพราะประกาศคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2568 หรือ หลักเกณฑ์นมโรงเรียน 68 กลับทำให้ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 12 แห่ง สังกัด สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ ที่ไม่ได้รับสิทธิ คือ วษท.ลพบุรี วษท.เชียงราย วษท.กำแพงเพชร วษท.นครสวรรค์ วษท.อุทัยธานี วษท.ขอนแก่น วษท.สระแก้ว วษท.ศรีสะเกษ วษท.เพชรบุรี วษท.ราชบุรี วษท.ตาก วษท.ร้อยเอ็ด
ส่วนวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 2 แห่งที่ได้รับสิทธิ คือ วษท.บุรีรัมย์ ได้ 1 ตัน วษท.สุโขทัย ได้ 2.2 ตัน
ซึ่งถือว่าได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนน้อยมาก ทั้งที่วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีทุกแห่ง ได้เรียกร้องขอให้มีการคุ้มครอง หรือให้ภาครัฐให้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน 4-5 ตันต่อวัน เพราะเป็นสถาบันการศึกษา ที่ใช้งบประมาณรัฐก่อสร้างโรงงาน จึงควรได้รับสิทธิ เพื่อไม่ให้งบประมาณที่ใช้ก่อสร้างและปรับปรุงโรงงานสูญเปล่า และเป็นการช่วยเหลือเกษตรในพื้นที่ให้ได้จำหน่ายนมโค

เปิดสาเหตุที่ทำให้วิทยาลัยเกษตรฯไม่ได้โควตานมโรงเรียน
ไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคอีสาน ได้รับข้อมูลจากตัวแทนวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ที่สมัครรับจัดสรรสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน ว่า หลังการประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียน 2568 มีการส่งจดหมายและประสานงานอย่างต่อเนื่อง ไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการนมโรงเรียน เพื่อขอความอนุเคราะห์และชี้แจงข้อสงสัยต่าง ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่ได้รับสิทธิ แต่ไม่ได้รับการตอบรับหรือการชี้แจงใด ๆ กลับมา
ทางวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี มองว่า หลักเกณฑ์จัดสรรสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน ปี 2568 ในส่วนของแนบท้ายประกาศ ซึ่งไม่ผ่านการทำประชาพิจารณ์ และเร่งรีบออกประกาศ อาจขัดต่อมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 3 มีนาคม 2568 โดยระบุว่า
1.แนวทางการกำหนดสัดส่วนการจัดสรรสิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียน
1.1จัดสรรสิทธินมโรงเรียนให้กับสหกรณ์ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นเป็นลำดับแรกไม่เกินร้อยละ 58 ของสิทธิทั้งหมดในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.2สิทธิที่เหลือจาก 1.1 ให้นำมาจัดสรรให้กับรัฐวิสาหกิจ (อ.ส.ค.) ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นไม่เกิน ร้อยละ 30 ของสิทธิคงเหลือในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.3 สิทธิที่เหลือจาก 1.2 ให้นำมาจัดสรรให้สถาบันการศึกษา ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นไม่เกินร้อยละ 5 ของสิทธิคงเหลือในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.4 สิทธิที่เหลือจาก 1.3 ให้นำมาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมอื่น
กรณีมีสิทธิคงเหลือจาก 1.1-1.4 ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชน

ระดับกลุ่มพื้นที่แจ้งไปยังคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนเพื่อพิจารณาจัดสรรสิทธิต่อไป
หลักเกณฑ์ที่เหมือนจะดูดี เป็นไปตามมติ ครม.ซึ่งกลุ่มสถาบันการศึกษาเชื่อว่าจะได้รับสิทธิแน่นอน แต่ในทางปฏิบัติ วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี มองว่า ทำให้สิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียนตกไปเป็นของภาคเอกชนมากกว่า
และขอให้มีการตรวจสอบ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กลุ่มสถาบันการศึกษา นอกจากนี้ยังพบว่ามีสหกรณ์หลายแห่งที่ได้สิทธินมโรงเรียนลดลง ทั้งที่ต้องแบกภาระรับซื้อนมล้นตลาด หรือล้นเอ็มโอยูจากเกษตรกรกร

อย่างกรณี ที่แบ่งการจัดสรรสิทธิใน 77 จังหวัด ออกเป็น 7 พื้นที่ แต่ละพื้นที่ใช้ปริมาณน้ำนมดิบสำหรับผลิตนมโรงเรียนตามจำนวนนักเรียนไม่เท่ากัน อีกทั้งจำนวน สหกรณ์ อ.ส.ค. และสถาบันการศึกษาที่ขอรับสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนก็มีไม่เท่ากัน
ตัวอย่าง เช่น มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม อยู่ในพื้นที่จัดสรรสิทธินมโรงเรียน เขต 1 ซึ่งเขตนี้มีปริมาณนมโรงเรียนที่ต้องผลิตให้เด็กนักเรียน 153 ตัน มหาวิทยาลัยราชภัฏพิบูลสงคราม จะได้รับจัดสรรสิทธิน้ำนมดิบเพียง 370 กิโลกรัม ซึ่งไม่สามารถเดินเครื่องโรงงานเพื่อผลิตนมโรงเรียนให้คุ้มทุนได้ ถือเป็นผลกระทบจากหลักเกณฑ์ที่ประกาศแนบท้าย
นอกจากนี้ สถาบันการศึกษาในฐานะผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นม ไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายน้ำนมโคกับศูนย์รวบรวมน้ำนมดิบได้ตามข้อ 6.4 ของหลักเกณฑ์ เนื่องจากคู่สัญญาขาดความเชื่อมั่นในการจัดหาน้ำนมดิบให้กับสถานศึกษา การไม่สามารถทำสัญญาซื้อขายน้ำนมดิบได้ ส่งผลโดยตรงให้สถานศึกษาไม่สามารถทำสัญญาเป็นหนังสือกับหน่วยจัดซื้อ (โรงเรียน วิทยาลัย สถานพัฒนาเด็กปฐมวัย) ได้ตามข้อ 9.3 ของประกาศ ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2568 ได้

ผลกระทบวิทยาลัยเกษตรฯ ปิดโรงงานนม
เมื่อสถาบันการศึกษาไม่สามารถดำเนินการผลิตและจำหน่ายนมโรงเรียนได้ จึงจำเป็นต้องหยุดการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งรวมถึงการหยุดการผลิตและเลิกจ้างพนักงานที่ทำงานในส่วนของโรงแปรรูปนมพาสเจอร์ไรส์และโครงการนมโรงเรียน
การหยุดดำเนินการนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบุคลากรที่ต้องตกงาน และยังขัดกับวัตถุประสงค์ของมหาวิทยาลัยฯ ที่ไม่ต้องการแสวงหากำไร แต่ต้องการผลิตนมคุณภาพเพื่อให้นักเรียนได้บริโภคและเป็นแหล่งเรียนรู้ วิจัย การไม่ได้รับการจัดสรรน้ำนมดิบในปริมาณที่คุ้มทุน ทำให้สถานศึกษาต้องแบกรับภาระและไม่สามารถดำเนินงานตามบทบาทในการส่งเสริมเกษตรกรโคนมและผลิตนมคุณภาพให้กับประเทศได้

ข้อมูลจากวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี 14 แห่ง ระบุว่า ในปี 2567 การไม่ได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน ทำให้ต้องเลิกจ้างพนักงาน ซึ่งเป็นคนในชุมชน กว่า 80 คนเลิกจ้างรถขนส่งนมโรงเรียน ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ กว่า 50 คัน ขาดรายได้บำรุงการศึกษา ไม่น้อยกว่า 14 ล้านบาท/ ปี และไม่สามารถรักษาข้อตกลงการรับซื้อน้ำนมดิบตามเอ็มโอยู ที่ทำไปแล้ว น้ำนมดิบเหลือในระบบ ไม่น้อยกว่า 40 ตันต่อวัน รวม 14,600 ตันต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่า 51 ล้านบาทต่อปี
และยังพบว่า ช่วงเปิดเทอม 2567 นักเรียนในพื้นที่ที่วิทยาลัยเกษตรฯ และสถาบันการศึกษา เคยส่งนมโรงเรียนได้ดื่มนมล่าช้า ซึ่งการที่เด็กได้ดื่มนมโรงเรียนล่าช้า ก็ยังเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอีกในช่วงเปิดเทอม 2568 ที่มาจากการประกาศ หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ประจำปีการศึกษา 2568
รายงาน : พลอยไพฑูรย์ ธุระพันธ์ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคอีสาน
อ่านข่าว : ย้อนรอยนมโรงเรียน 33 ปี ชิงสิทธิ งบฯ หมื่นล้าน
ป.ป.ช.รับสอบปมคลิปเสียง "แพทองธาร-ฮุนเซน"
คุมเข้มด่านคลองลึก ยังเปิดทางช่วยผู้ป่วย-ให้นักเรียนผ่าน
แท็กที่เกี่ยวข้อง: