วันนี้ (25 มิ.ย.2568) สถานการณ์ความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 ที่ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี ส่งผลให้แรงงานกัมพูชาจำนวนมากตัดสินใจเดินทางกลับภูมิลำเนา โดยเฉพาะผ่าน จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ ซึ่งมีการเปิดให้เข้า-ออกวันละ 3 รอบ ได้แก่ 06.00 น. สำหรับนักเรียนและผู้ป่วย, 13.00-13.15 น. และ 15.30-16.30 น. เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนชาวกัมพูชาที่มาเรียนในไทย อย่างไรก็ตาม ฝั่งกัมพูชาเริ่มเปิดประตูช้ากว่ากำหนดที่ 10.00-10.30 น. ทำให้เกิดความล่าช้าในการเดินทาง
แรงงานกัมพูชาที่เดินทางกลับระบุว่า ความกังวลต่อสถานการณ์ฉุกเฉินและมาตรการควบคุมชายแดนที่เข้มงวดเป็นเหตุผลหลัก โดยบางส่วนทำงานใน กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล และจังหวัดอื่น ๆ เช่น ตราดและจันทบุรี และนำสัมภาระส่วนตัวกลับไปด้วย
ตัวอย่างเช่น ที่ตลาดชายแดนช่องจอม ซึ่งปกติมีแรงงานกัมพูชากว่า 100 คนทำงานก่อสร้าง วันนี้เหลือเพียงแรงงานไทย 3 คน เนื่องจากกลุ่มสุดท้ายเกือบ 20 คนเดินทางกลับเมื่อเช้าวันที่ 25 มิ.ย.2568 ผู้รับเหมาก่อสร้างชาวไทยระบุว่า ต้องชะลอโครงการชั่วคราวและหาแรงงานท้องถิ่นทดแทน ซึ่งยังไม่เพียงพอ
จากข้อมูลของ สำนักงานจัดหางานจังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบันมีแรงงานกัมพูชาถูกกฎหมายในจังหวัด 1,337 คน แบ่งเป็น
- ทำงานภายใต้ MOU 250 คน
- ตามมติ ครม.ยื่น Name List 420 คน
- ทำงานแบบไป-กลับหรือตามฤดูกาล 690 คน
- กลุ่มมีทักษะ 5 คน
อาชีพหลักของแรงงานกัมพูชาคือ ค้าปลีก ค้าส่ง แผงลอย ก่อสร้าง ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เกษตร และผลิตจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง การกลับบ้านของแรงงานส่งผลกระทบต่อภาคเกษตร โดยเฉพาะที่ สหกรณ์ส่งเสริมธุรกิจการเกษตรจังหวัดตราด ซึ่งขาดแคลนแรงงานในการคัดแยก เงาะและมังคุด เพื่อส่งออกไปเวียดนาม
ผู้จัดการสหกรณ์ระบุว่า แรงงานที่มีเอกสารหมดอายุต้องกลับกัมพูชา เนื่องจากหากอยู่ต่อจะเสียค่าปรับวันละ 500 บาท และไม่สามารถกลับเข้าไทยได้เพราะด่านปิด จึงเรียกร้องให้รัฐบาลผ่อนผันให้แรงงานภาคเกษตรอยู่จนหมดฤดูกาลผลไม้ ส่วนแรงงานที่เอกสารยังไม่หมดอายุเลือกทำงานต่อ เนื่องจากรายได้ดีและสามารถส่งเงินกลับบ้านได้

เจรจาแลกเปลี่ยนรถสินค้าไทย ตกค้างฝั่งกัมพูชา
ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี การเจรจาระดับท้องถิ่นระหว่างหน่วยงานความมั่นคง หน่วยประสานงานชายแดน และเจ้าหน้าที่ด่านควบคุมชายแดน นำไปสู่ข้อตกลงแลกเปลี่ยนการเดินทาง โดยฝ่ายกัมพูชาอนุญาตให้ รถบรรทุกสินค้าไทย 12 คัน ที่ติดค้างในกัมพูชากลับเข้าประเทศ ขณะที่ไทยอำนวยความสะดวกให้ ชาวกัมพูชาและรถจักรยานยนต์ 79 คัน เดินทางกลับกัมพูชา การเจรจานี้ช่วยคลายความตึงเครียดในพื้นที่ได้บางส่วน
ที่จุดผ่านแดนถาวรบ้านแหลม อ.โป่งน้ำร้อน ผู้ประสานงานชายแดนไทย-กัมพูชานำหนังสือ 2 ฉบับจากกองทัพเรือไทยส่งถึง นายซก ลู ผู้ว่าราชการจังหวัดพระตะบอง โดยมี พ.อ.ยิง ซังเฮง หัวหน้าหน่วยประสานงานชายแดนกัมพูชา-ไทย เป็นผู้รับ
ฉบับแรกชี้แจงกรณีฝ่ายกัมพูชากล่าวหาว่าไทยบินโดรนรุกล้ำน่านฟ้า โดยไทยยืนยันว่าไม่มีการกระทำดังกล่าว ฉบับที่ 2 เป็นการประท้วงการบินโดรนจากกัมพูชารุกล้ำอธิปไตยไทย ซึ่งถือเป็นการละเมิด MOU เอกสารทั้งสองยื่นผ่าน สำนักงานประสานงานชายแดนจันทบุรีและตราด โดยมี นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี รับทราบ
การตอบโต้จากกัมพูชาและการเตรียมรับแรงงาน
นายซอร์ ซกฮา รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีมหาดไทยกัมพูชา โพสต์เฟซบุ๊กวิพากษ์วิจารณ์ไทยว่า บิดเบือนข้อเท็จจริงและพยายามปกปิดความขัดแย้งภายในเพื่อกลบเกลื่อนสถานการณ์ที่ช่องบก จึงตั้งคำถามถึงการที่ไทยอ้างว่าเปิดด่านทั้งหมดแล้ว แต่ยังจำกัดการเดินทางของประชาชน และเรียกร้องให้ไทยออกประกาศอย่างเป็นทางการเพื่อความโปร่งใส
นอกจากนี้ กัมพูชายังยืนยันจุดยืนในการใช้กลไกสากล เช่น การยื่นเรื่องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) เพื่อแก้ไขข้อพิพาท

ทหารเรือกัมพูชาเปิดอบรมหลักสูตรควบคุมเรือรบ
ขณะที่ ขแมร์ ไทม์ส รายงานว่า จังหวัดกำปงจาม เตรียมตำแหน่งงานว่างกว่า 11,000 ตำแหน่ง ในภาคเกษตรเพื่อรองรับแรงงานที่กลับจากไทย โดยจัดทีมงานปรับปรุงกระบวนการจ้างงานและให้ข้อมูลเกี่ยวกับงานและการฝึกอบรมวิชาชีพที่ด่านในจังหวัดไพลินและอุดรมีชัย นอกจากนี้ กองทัพเรือกัมพูชาจัดฝึกอบรมทหารเรือกว่า 100 นาย เพื่อพัฒนาทักษะการลาดตระเวนและปราบปรามอาชญากรรมในน่านน้ำ
การกลับบ้านของแรงงานกัมพูชาส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและก่อสร้างในไทย โดยเฉพาะในจังหวัดตราดและจันทบุรี ซึ่งพึ่งพาแรงงานกัมพูชากว่าร้อยละ 80 ในงานเก็บผลไม้และก่อสร้าง ผู้ประกอบการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและกัมพูชาเร่งเจรจาผ่านกลไก เช่น คณะกรรมาธิการชายแดนร่วม (JBC) ซึ่งกำหนดประชุมวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ที่กรุงพนมเปญ เพื่อลดความตึงเครียดและเปิดด่านตามปกติ แรงงานบางส่วนที่ยังอยู่ในไทยแสดงความต้องการทำงานต่อ เนื่องจากค่าแรงสูงกว่ากัมพูชา 3 เท่า (วันละ 450-500 บาท) และสวัสดิการดีกว่า

อ่านข่าวอื่น :