นมโรงเรียนแบบนมกล่อง หรือนมยูเอสที จำนวน 72 ล้านกล่อง ที่แทบล้นโกดังของ สหกรณ์โคนมหนองโพราชบุรี จำกัด (ในพระบรมราชูปถัมภ์) ซึ่งมีทั้งของสหกรณ์หนองโพเอง และบางส่วนที่รับจ้างผลิตให้กับสหกรณ์อื่น ๆ และของเอกชน สะท้อนปัญหาปริมาณนมล้นตลาดได้เป็นอย่างดี
ในช่วงเดือน เม.ย. ถึงพ.ค.ที่ผ่านมา สหกรณ์โคนมหนองโพฯ ได้รับซื้อนมโคสดกว่า 500 ตัน เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในภาคเหนือ ที่ต้องเทนมทิ้งเพราะถูกเอกชนปฏิเสธรับซื้อ เพราะอ้างไม่ได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน

ในฐานะพี่ใหญ่ของสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ สหกรณ์โคนมหนองโพฯ ซึ่งก็ยังไม่ทราบว่า จะได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนเท่าใด แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธการช่วยเหลือ ต้องรับซื้อนมสดมาแปรรูปเป็นนมกล่อง เพื่อเตรียมขอสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน หวังระบายนมกล่องที่ตกค้าง
แต่ปีนี้ก็ไม่เป็นตามที่คาดหวัง สหกรณ์โคนมหนองโพฯ ได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนลดลง จากผลของการประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียน ปี 2568 โดยปีที่แล้วได้สิทธิ 74 ตัน แต่ปีนี้ได้สิทธิเพียง 45 ตันเท่านั้น นมกล่องปริมาณมากที่ตกค้างจึงยากที่จะระบายออกได้
ประพันธ์ ธรรมลังกา รอง ผจก.สหกรณ์โคนมหนองโพฯ ระบุว่า ในฐานะสหกรณ์โคนม ได้พยายามเสนอให้แนวทางการจัดสรรสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน มีความโปร่งใสและเป็นธรรม ซึ่งหลักเกณฑ์ในปีนี้แม้จะค่อนข้างดีแล้ว แต่ตามที่ระบุในประกาศแนบท้ายว่า

1.แนวทางการกำหนดสัดส่วนการจัดสรรสิทธิการจำหน่ายนมโรงเรียน
1.1จัดสรรสิทธินมโรงเรียนให้กับสหกรณ์ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นเป็นลำดับแรกไม่เกินร้อยละ 58 ของสิทธิทั้งหมดในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.2สิทธิที่เหลือจาก 1.1 ให้นำมาจัดสรรให้กับรัฐวิสาหกิจ (อ.ส.ค.) ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นไม่เกิน ร้อยละ 30 ของสิทธิคงเหลือในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.3 สิทธิที่เหลือจาก 1.2 ให้นำมาจัดสรรให้สถาบันการศึกษา ตามสัดส่วนปริมาณนมที่ยื่นไม่เกินร้อยละ 5 ของสิทธิคงเหลือในแต่ละกลุ่มพื้นที่
1.4 สิทธิที่เหลือจาก 1.3 ให้นำมาจัดสรรให้กับผู้ประกอบการผลิตภัณฑ์นมอื่น
กรณีมีสิทธิคงเหลือจาก 1.1-1.4 ให้คณะอนุกรรมการขับเคลื่อนโครงการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนระดับกลุ่มพื้นที่แจ้งไปยังคณะกรรมการอาหารนมเพื่อเด็กและเยาวชนเพื่อพิจารณาจัดสรรสิทธิต่อไป

แนวทางนี้ ถือเป็นการเขียนที่ดูเหมือนจะให้สิทธิกับกลุ่มสหกรณ์เป็นอันดับแรก แต่ในทางปฏิบัติ รอง ผจก.สหกรณ์โคนมหนองโพฯ กลับมองว่า ไปเป็นตามนั้นและมีข้อเสนอ ให้ภาครัฐจัดสรรสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนแก่ภาคสหกรณ์ ร้อยละ 58 จริง ๆ
อ่านข่าว : วิทยาลัยเกษตรฯ ชวดโควตานมโรงเรียน 2 ปีซ้อน
เพราะที่ผ่านมาการจัดสรรสิทธิ ไม่ได้ให้สิทธิสหกรณ์ตามหลักการของมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งหากจัดสรรสิทธินมโรงเรียนให้กับสหกรณ์โคนม ก็จะทำให้สามารถช่วยรับซื้อนมโรงเรียนจากเกษตรกรในภาวะนมล้น และทำให้สหกรณ์สามารถบริหารจัดการองค์กรได้

ตลาดนมโรงเรียนนับเป็นตลาดสำคัญ ที่ช่วยให้สหกรณ์โคนมสามารถรับซื้อนมโคสดจากเกษตรกรไปแปรรูปในภาวะนมล้นตลาด ส่วนในตลาดพาณิชย์ หรือผลิตภัณฑ์นมยี่ห้อต่าง ๆ ในท้องตลาด สหกรณ์ก็ยากที่จะแข่งขันกับเอกชนรายใหญ่ใน ที่หันไปใช้นมผงนำเข้าราคาถูกกว่า มาเป็นวัตถุดิบแทนนมโคสด
ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 มีนาคม 2568 เรื่องการทบทวนระบบบริหารจัดการนมโรงเรียน ได้กำหนดวัตถุประสงค์ของโครงการนมโรงเรียนว่า ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับสหกรณ์โคนม รัฐวิสาหกิจ และสถาบันการศึกษา ในการดำเนินกิจการผลิตนม

แต่สหกรณ์โคนมหลายแห่ง ตั้งข้อสังเกตว่า หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินงานโครงการอาหารเสริม (นม) โรงเรียน ปี 2568 อาจขัดมติ ครม. เพราะทำให้สหกรณ์โคนมหลายแห่งได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนลดลง และมีสถาบันการศึกษาอีกหลายแห่งที่ไม่ได้สิทธิจำหน่าย จนต้องปิดโรงงานแปรรูปนมทั้งที่ใช้งบประมาณรัฐในการก่อสร้างและปรับปรุง
ซึ่งจากสูตรคำนวนตาม แนบท้ายประกาศ ดูเผิน ๆ ตามตัวเลข เหมือนให้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนแก่สหกรณ์มากที่สุด แต่ในทางปฏิบัติ ซึ่งมีการแบ่งการจัดสรรสิทธิออกเป็น 7 พื้นที่ แต่ละพื้นที่ใช้ปริมาณน้ำนมดิบ สำหรับผลิตนมโรงเรียนตามจำนวนนักเรียน ไม่เท่ากัน

อีกทั้งจำนวน สหกรณ์ /อ.ส.ค. และสถาบันการศึกษาที่ขอรับสิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนก็มีไม่เท่ากัน ทำให้การคำนวนตามสูตรนี้ นำไปสู่ผลการจัดสรรสิทธิ ซึ่งในบางเขตพื้นที่ มีสหกรณ์โคนมหลายแห่งได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนลดน้อยลงจากปี 2567 ต้องแบกรับน้ำนมดิบที่รับซื้อจากเกษตรกรในปีนี้
อ่านข่าว : ย้อนรอยนมโรงเรียน 33 ปี ชิงสิทธิ งบฯ หมื่นล้าน
ชกาศพล เสือไพร ประธานกรรมการสหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค อ่าวน้อย จำกัด ระบุว่า จากประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียนที่ว่า กลุ่มสหกรณ์นมโรงเรียนได้สิทธิ 58 % สหกรณ์ก็เข้าใจว่าจะได้ 58 % จริง ๆ แต่เมื่อคำนวณแยกเป็นแต่ละเขตพื้นที่ อย่างในเขต 6 ถือว่าเป็นเขตที่มีสหกรณ์โคนมจำนวนมากถึง 9 แห่ง ต้องแบ่งสิทธิกันใน 58 % ทำให้แต่ละสหกรณ์ถูกลดสิทธิเฉลี่ยแห่งละ 35 %

อย่างสหกรณ์โคนมไทย-เดนมาร์ค อ่าวน้อย จำกัด เคยได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียน 14 ตัน ปีนี้เหลือเพียง 9 ตัน ก่อนหน้านี้ที่นำน้ำนมดิบไปผลิตนมกล่องไว้ พอสิทธิจำหน่ายน้อยลง ก็จะเหลือนมกล่องตกค้างกว่า 2 ล้านกล่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการรับซื้อนมจากเกษตรกร
หากย้อนไปในช่วงปลายเดือนมีนาคม มติ ครม.3 มีนาคม 2568 ทำให้ กลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมภาคเอกชน ชุมนุมคัดค้านมติ ครม.นี้ อ้างไม่เป็นธรรม เลือกปฏิบัติสองมาตรฐาน และอาจเป็นการผูกขาดงบประมาณให้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง อ้างภาคเอกชนสามารถดูแลเกษตรกรโคนมได้ดี ทั้งที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ

แต่หลังจากมีการการประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียน ปี 2568 นายปรีติ เจริญศิลป์ สส.พรรคประชาชน ในฐานะรองประธานคณะ กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โคนมและผลิตภัณฑ์นม โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า การประกาศหลักเกณฑ์นี้ ทำให้ผู้ประกอบการจำนวนหนึ่ง ต้องปิดกิจการเพราะไม่ได้รับสิทธิในการจำหน่ายนมโรงเรียน เท่าที่ทราบมีอย่างน้อย 6 บริษัท และผู้ประกอบการบางรายเตรียมฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
จนถึงตอนนี้จึงยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า การประกาศหลักเกณฑ์นมโรงเรียน ปี 2568 เพื่อให้สิทธิผู้ประกอบการจำหน่ายนมโรงเรียนในพื้นที่ 7 กลุ่ม ทั่วประเทศ ผู้ประกอบการกลุ่มใดได้สิทธิจำหน่ายนมโรงเรียนมากที่สุด ด้านกลุ่มที่ไม่ได้สิทธิหรือได้สิทธิน้อยก็เรียกร้องให้ภาครัฐชี้แจง ว่าการออกหลักเกณฑ์เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหรือไม่
รายงาน : พลอยไพฑูรย์ ธุระพันธ์ ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอส ศูนย์ข่าวภาคอีสาน