เมื่อวันที่ 25 มิ.ย.2568 เครื่องบินทิ้งระเบิด B-2 ของสหรัฐฯ ทะยานเหนืออิหร่าน ปฏิบัติการโจมตีฐานนิวเคลียร์ของเตหะรานด้วยระเบิดเจาะบังเกอร์ การโจมตีนี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน แต่ยังส่งผลกระทบทางยุทธศาสตร์ต่อเกาหลีเหนือ ประเทศที่มีคลังแสงนิวเคลียร์ก้าวหน้ากว่าอิหร่านและมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างรัสเซีย
ปฏิบัติการดังกล่าว ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ และ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ พีท เฮกเซธ ถูกระบุว่าเป็น "ชัยชนะยิ่งใหญ่" ที่ทำให้โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านล่าช้าออกไปหลายทศวรรษ อย่างไรก็ตาม รายงานลับจากสำนักข่าวกรองกลาโหมสหรัฐฯ ที่รั่วไหลออกมา ชี้ว่าผลกระทบอาจมีเพียงเล็กน้อย สร้างความขัดแย้งในมุมมองผลลัพธ์ของการโจมตี ขณะที่สภาอิหร่านตอบโต้ด้วยการระงับความร่วมมือกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) โดยกล่าวหาว่าองค์กรนี้ไม่ปกป้องสถานที่นิวเคลียร์ของตน
"เกาหลีเหนือ" ย้ำความจำเป็นของนิวเคลียร์
ในเอเชียตะวันออก การโจมตีดังกล่าวถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดจาก เปียงยาง ซึ่งมองว่านี่คือการยืนยันถึงภัยคุกคามจากสหรัฐฯ ศาสตราจารย์ Lim Eul-chul จากมหาวิทยาลัย Kyungnam เกาหลีใต้ วิเคราะห์ว่า การกระทำของสหรัฐฯ เสริมความชอบธรรมให้นโยบายนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ โดยผู้นำ คิม จองอึน เชื่อว่าอาวุธนิวเคลียร์เป็นเครื่องยับยั้งการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองที่นำโดยสหรัฐฯ การโจมตีอิหร่าน ซึ่งยังไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ที่พร้อมใช้งาน ถูกเปียงยางตีความว่าเป็นหลักฐานของความเปราะบางของชาติที่ขาดคลังแสงนิวเคลียร์
เกาหลีเหนือครอบครองหัวรบนิวเคลียร์ประมาณ 40-50 หัวรบ พร้อมขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBMs) ที่สามารถโจมตีถึงสหรัฐฯ ได้ ซึ่งแตกต่างจากอิหร่านที่ยังอยู่ในขั้นตอนการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม
ศาสตราจารย์ Leif-Eric Easley จากมหาวิทยาลัย Ewha Womans ในกรุงโซล ระบุว่า ความก้าวหน้าทางนิวเคลียร์ของเปียงยางทำให้การโจมตีทางทหารมีความเสี่ยงสูงยิ่ง เนื่องจากอาจนำไปสู่ สงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ โดยเฉพาะเมื่อเกาหลีเหนือมีสนธิสัญญาป้องกันร่วมกับรัสเซีย ซึ่งอาจดึงมอสโกเข้ามาในความขัดแย้ง

รัสเซีย-เกาหลีเหนือ พันธมิตรที่แข็งแกร่ง
ตั้งแต่รัสเซียรุกรานยูเครนในปี 2565 ความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือและรัสเซียพัฒนาขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะหลังการลงนามความร่วมมือทางยุทธศาสตร์ในปี 2567 รายงานจาก Multilateral Sanctions Monitoring Team (MSMT) ของสหประชาชาติระบุว่า เกาหลีเหนือส่งทหาร 14,000 นาย กระสุนหลายล้านลูก และขีปนาวุธเพื่อสนับสนุนรัสเซีย ในทางกลับกัน รัสเซียจัดหาน้ำมันกลั่น ระบบป้องกันภัยทางอากาศ และเทคโนโลยีสงครามอิเล็กทรอนิกส์ให้เปียงยาง การแลกเปลี่ยนนี้ช่วยให้เกาหลีเหนือพัฒนาขีปนาวุธและระดมทุนสำหรับโครงการทหาร แม้จะขัดต่อมติสหประชาชาติ
ศาสตราจารย์ Lim ชี้ว่า ความสัมพันธ์นี้ทำให้เปียงยางมุ่งสู่การพัฒนาอาวุธร่วมกับรัสเซีย รวมถึงการซ้อมรบและถ่ายทอดเทคโนโลยี การโจมตีอิหร่านอาจกระตุ้นให้ความร่วมมือนี้เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อตอบโต้ภัยคุกคามจากสหรัฐฯ และชาติตะวันตก
Victor Cha จาก Center for Strategic and International Studies วิเคราะห์ว่า การโจมตีอิหร่านย้ำตรรกะของคิม จองอึน ว่าประเทศที่ไม่มีอาวุธนิวเคลียร์ เช่น อิรัก ลิเบีย และอิหร่าน มักตกเป็นเป้าของสหรัฐฯ การทดสอบนิวเคลียร์ 6 ครั้งของเกาหลีเหนือและขีปนาวุธพิสัยไกลทำให้เปียงยางมองว่าคลังแสงของตนคือสิ่งที่ต่อรองไม่ได้ การโจมตีอิหร่านจึงอาจตอกย้ำความมุ่งมั่นของเกาหลีเหนือในการรักษาและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ต่อไป
นอกจากนี้ สนธิสัญญาพันธมิตรสหรัฐฯ-เกาหลีใต้กำหนดให้มีการปรึกษาหารือก่อนการโจมตีเกาหลีเหนือ ซึ่งเพิ่มความซับซ้อนทางการเมืองและกฎหมาย ขณะที่สนธิสัญญากับรัสเซียอาจทำให้มอสโกเข้าแทรกแซงโดยอัตโนมัติ สถานการณ์นี้ทำให้การโจมตีทางทหารต่อเกาหลีเหนือมีความเสี่ยงสูงกว่ากรณีอิหร่านอย่างมาก

การโจมตีอิหร่านไม่เพียงล้มเหลวในด้านการยับยั้งการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ แต่ยังอาจกระตุ้นให้เกาหลีเหนือเพิ่มความแข็งแกร่งทางทหาร ศาสตราจารย์ Lim เตือนว่า การกระทำของสหรัฐฯ จะเพิ่มความไม่ไว้วางใจและเร่งให้เปียงยางกระชับความสัมพันธ์กับรัสเซีย ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาอาวุธที่ทันสมัยยิ่งขึ้น สถานการณ์นี้ท้าทายความพยายามทางการทูตในคาบสมุทรเกาหลี ซึ่งล้มเหลวมาหลายทศวรรษในการชักจูงเกาหลีเหนือให้ปลดอาวุธนิวเคลียร์
ในขณะที่อิหร่านยังคงต่อสู้เพื่อฟื้นฟูโครงการนิวเคลียร์ เกาหลีเหนือกลับอยู่ในตำแหน่งที่แข็งแกร่งกว่า ด้วยคลังแสงที่พร้อมใช้งานและพันธมิตรอย่างรัสเซีย การโจมตีของสหรัฐฯ จึงอาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้สถานการณ์ความมั่นคงในเอเชียตะวันออกซับซ้อนยิ่งขึ้น
แหล่งที่มา : CNN
อ่านข่าวอื่น :
ลงทะเบียนใช้รถไฟฟ้า 20 บาท ส.ค.นี้ ผ่านแอปฯ ทางรัฐ
ทภ.1 อนุโลมเปิดด่านคลองลึก ให้ชาวกัมพูชาเข้าไทยวันละไม่เกิน 1 พันคน