ฟอกเงินดิจิทัล นอกราชอาณาจักร เล่ห์ร้าย “คอลเซนตอร์” ข้ามแดน

หลังกัมพูชาประกาศงดซื้อไฟฟ้าจากประเทศไทย เมื่อวันที่ 17 มิ.ย. 2568 พบข้อมูลว่า กัมพูชาตัดไฟเพียงแค่ 3 จุด คือ ด้าน จ. สระแก้ว บ้านคลองลึก ไป อ.ปอยเปต จ.บันเตียเมียเจย ,บ้านคลองลึก ด้านเดียวกับ จ.สระแก้ว เป็นวงจรที่ 2 และจ.ตราด บ้านหาดเล็ก ไป บ้านหาดทราบยาว จ.เกาะกง กัมพูชา จากทั้งหมด 9 จุด ส่วนอีก 6 จุดที่เหลือไทยยังคงมีการจ่ายไฟให้ตามปกติ

ผลของการตัดไฟ ไม่เพียงทำให้กัมพูชาขาดแคลนพลังงานเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อไทย เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายหลักของแก๊งคอลเซนเตอร์ ถูกหลอกลดลงอย่างเห็นได้ชีด มีข้อมูลจากตำรวจระบุว่า หลังการตัดไฟ-อินเทอร์เนตในช่วง 7 วันแรก คดีจากแก๊งคอลเซนเตอร์ ลดลง 20% และเมื่อมีการปิดด่านชายแดนคดีคอลเซนเตอร์ ในวันแรกคดีดังกล่าวลดลงถึง 30%

ในแต่ละวันพบว่า มีประชาชนถูกหลอกจำนวนมาก โดยมูลค่าความเสียหายเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 80 ล้านบาท จึงส่งผลกระทบในวงกว้างและเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ แม้ล่าสุด ไทยจะมีกฎหมายใหม่เพื่อเอาผิดแก๊งอาชญากรรรมคอลเซนเตอร์ข้ามชาติออกมาบังคับใช้ถึง 2 ฉบับแล้วก็ตาม

คือ พระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโน โลยีฉบับที่ 2 ปี 2568 และพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลฉบับที่ 2 พ.ศ 2568 เนื่องจาก เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า มีการนำเงินที่ได้จากการกระทำความผิดไปซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้ยากต่อการตรวจสอบในการทำธุรกรรมและการระงับการทำธุรกรรม

โดยแก๊งคอลเซนเตอร์ ยังมีการใช้บริการโทรคมนาคมในการกระทำ ความผิด และมีการนำข้อมูลบุคคลผู้เสียชีวิตมาใช้แอบอ้างในการกระทำความผิดดังกล่าว นอกจากนี้ยังพบอีกว่า ศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลมักตั้งอยู่นอกราชอาณาจักร แต่การให้บริการบุคคลที่อยู่ในประเทศ ยังไม่มีกฎหมายควบคุม

คนร้ายได้นำเงินไปซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอลผ่านศูนย์ซื้อขายสิน ทรัพย์ดิจิทัล จึงยากต่อการระงับการทำธุรกรรมและการนำเงินมาคืนให้กับผู้เสียหาย

นายณัฐพล กิตติตระกูล รองอัยการจังหวัดนครปฐม สำนักงานอัยการจังหวัดนครปฐม กล่าวว่า สำหรับคดีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของแก๊งคอลเซนเตอร์พบว่า เงินที่โอนจากบัญชีผู้เสียหาย นอกจากจะโอนไปบัญชีอื่นๆ แล้ว คนร้ายยังได้โอนไปซื้อสินทรัพย์ดิจิทัล พวกคริปโต บิตคอยน์ ทำให้การติดตามเส้นทางการเงินหรือติดตามว่าใครเป็นคนร้ายก็ยากขึ้น เนื่องจากมีการใช้โทรศัพท์หรือโทรคมนาคมในการโอน

โดยพ.ร.ก.ใหม่ทั้ง 2 ฉบับที่ใช้บังคับจะเป็นมาตรการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางเทคโนโลยีให้ครอบคลุม มีการเพิ่มคำนิยาม เกี่ยวกับสินสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น จากเดิมเป็นผู้ประกอบธุรกิจ เพิ่มเป็นผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คำว่า กระเป๋าสินทรัพย์ และกระเป๋าเงินอิเลคทรอนิคส์

ต่อไปนี้ข้อหาบัญชีม้า จะไม่ได้มีแต่บัญชีที่เป็นเงินฝากธนาคาร หรือบัญชีออนไลน์เท่านั้น แต่จะเป็นบัญชีสินทรัพย์ดิจิทัลม้าด้วย

นอกจากนี้ยังกำหนดให้การแลกเปลี่ยนข้อมูลกับผู้ให้บริการ ที่เกี่ยวกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์ในค่ายมือถือต่างๆ ด้วยเพื่อให้ข้อมูลลิงค์กัน เพื่อให้รับทราบข้อมูล หากหมายเลขโทรศัพท์นั้นๆ เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี ก็ให้สตช.ดีเอสไอ และปปง.หรือศปอท. สามารถแจ้งไปยังกสทช.เพื่อสั่งให้ระงับการให้บริการหมายเลขโทรศัพท์ได้ทันที ถ้ามีการใช้เบอร์โทรศัพท์นั้นๆในกระทำความผิดจากเดิมที่ไม่มี

หรือการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องได้รับอนุญาตด้วยตาม พ.ร.ก. เดิมครอบคลุมภายในประเทศไทยเท่านั้น แต่กฎหมายใหม่จะครอบคลุมในเรื่องการซื้อ-ขาย ดิจิทัลในต่างประเทศ รวมทั้งให้บริการกับผู้ใช้บริการที่อยู่ในประเทศไทยด้วย

สามารถระงับคำสั่งการระงับนำเข้ามูลเข้า-ออกจากระบบ หรือห้ามซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล หรือการส่ง sms ชักชวนให้ไปลงทุน จะต้องมีการตรวจสอบคัดกรองข้อมูลด้วย เพื่อไม่ให้มีการหลอกลวงผู้ใช้บริการ หรือในกรณีที่พบว่า มีการใช้โทรคมคมเพื่อการกระทำความผิดก็สั่งระงับให้บริการได้ด้วยเช่นกัน

รองอัยการจังหวัดนครปฐม บอกว่า ส่วนมาตรการคืนเงินผู้เสียหายเดิมจะต้องรอให้คดีสิ้นสุด และศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้เงินคืนผู้เสียหาย แต่กฎ หมายใหม่สั่งให้คืนเงินผู้เสียหายได้ โดยไม่ต้องฟ้องร้องคดีต่อศาล

"ข้อสังเกต คือ ตัวกฎหมายไม่ได้ระบุว่า เงินที่นำมาคืนจะมาจากส่วนใด อาจมาจากการตั้งกองทุน หรือบัญชีที่ใช้ในการเยียวยาผู้เสียหายในเบื้องต้นก่อน"

นายณัฐพล กล่าวว่า ปัจจุบันรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แม้จะเป็นรูปแบบเดิม ๆ แต่ได้พัฒนาเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมีการใช้เทคโนโลยี AI ปลอมแปลงเสียงให้คล้ายกับคนในครอบครัวเพื่อหลอกลวงให้โอนเงิน การปลอมแปลงใบหน้าเพื่อ วิดีโอคอล ว่าเป็นใบหน้าเหมือนที่คนรู้จัก แต่จริง ๆเป็น AI และมีความแนบเนียนเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีปัญหาในการทำสำนวน

"ความผิดฉ้อโกงประชาชน หรือนำการข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ การทำตามความผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ และบัญชีม้า มีอัตราโทษไม่สูงมาก ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมจะมีระยะเวลาการฟ้องคดีภายใน 48 วัน จึงมีปัญหาว่าตั้งแต่การจับกุมและส่งสำนวนให้อัยการมีเวลาค่อนข้างจำกัด การรวบรวมพยานหลักฐานอาจไม่ครบถ้วนหรือได้เพียงบางส่วน อาจไม่เพียงพอ ทำให้อัยการต้องยื่นฟ้องไปก่อน หรือบางครั้งต้องมีการสั่งสอบสวนเพิ่มเติม"

รองอัยการจ.นครปฐม ย้ำว่า พยานหลักฐาน เป็นส่วนสำคัญของคดี เดิมที่ผู้ต้องหาส่วนใหญ่ เมื่อถูกจับจะให้การรับสารภาพ แต่ในช่วงหลังๆ จะปฏิเสธ ไม่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีม้า ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการหลอกลวง เพื่อนำข้อมูลไปใช้ ทำให้ต้องมีการสืบพยานกันมากขึ้น เพราะถือเป็นหลักฐานสำคัญที่ศาลนำมาใช้ในการฟ้องคดี

ข้อมูลจากศูนย์ปฏิบัติการเพื่อการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนเทคโนโลยี หรือ AOC 1441 ระบุ สถิติการหลอกลวงออนไลน์ว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านา มีคดีหลอกลวง 1.18 ล้านคดี และสามารถระงับบัญชีม้าได้มากกว่า 521,915 บัญชี และป้องกันการความเสียหายได้มากกว่า 19,964 ล้านบาท หรือ 42.14%

ทั้งนี้ จากการรวบรวมข้อมูลระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2566-31 พ.ค. 2568 สายด่วน AOC 1441 รับสายเข้า 1,769,958 สาย พบบัญชีที่เกี่ยวข้องกับการหลอกลวงถูกระงับการใช้งานจำนวน 686,515 บัญชี มูลค่าเสียหาย 29,750 ล้านบาท

หมายเหตุ: เนื้อหาบางส่วนจากงานเสวนา รู้ว่าหลอก จะได้ไม่โดน "คอลเซ็นเตอร์" หลอก จัดโดยสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อเร็ว ๆนี้

อ่านข่าว:

ควานหา “ชายฝรั่งเศส” เร่งสางคดีฆาตกรรม “โทโมโกะ คาวาชิตะ”

ทั่วโลกเสียท่า 8 ล้านล้านบาท “กลโกงแบบใหม่” ภัยคอลเซนเตอร์

พลังดูด "ภูมิใจไทย-เพื่อไทย-กล้าธรรม" สส.งูเห่า "ขนมผสมน้ำยา"