วันนี้ (26 มิ.ย.2568) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ กล่าวย้ำถึงท่าทีของประเทศไทย ต่อจุดยืนในสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ในโซเชียลมีการปลุกกระแสกันจนเกิดความเข้าใจผิดว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดจากเหตุการปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค. ในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยที่ฝ่ายไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มก่อน และไทยใช้สิทธิในการตอบโต้ โดยหนังสือประท้วงชี้แจงแล้วว่า ไทยจำเป็นจะต้องป้องกันตนเอง และรักษาอธิปไตยของประเทศ
พร้อมย้ำว่า รัฐบาลและกองทัพร่วมมือกันอย่างดี และเข้าใจกันในการรักษาบูรณภาพแห่งดินแดน กระทำอย่างเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ซึ่งกลไกทางการทูต และกลไกทางทหาร ก็มีการบูรณาการการทำงานร่วมกัน
นายมาริษ ยังชี้แจงว่า ขณะนี้ความตึงเครียดในพื้นที่ยังมีอยู่ เนื่องจากมีความพยายามในการวางกำลัง และขุดคูเลต บริเวณที่อยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ชัดเจนของฝ่ายกัมพูชา ซึ่งเป็นการละเมิด MOU 43 ดังนั้น ส่วนหนึ่งที่อีกฝ่าย ปรับกำลังออกจากพื้นที่ที่ยังไม่มีความชัดเจนนั้น เพราะมีการเจรจาของทหาร และทราบอีกฝ่ายว่า มีพันธกรณีตาม MOU 43 ซึ่งไม่ให้ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ การเข้ามาขุดใด ๆ จึงเป็นการเปลี่ยนแปลงภูมิประเทศ จนมีการปรับกำลังทหาร และกลบคูเลตให้เป็นสภาพเดิม ซึ่งแม้สถานการณ์จะมีการปรับกำลัง แต่ก็ยังมีกำลังที่เสริมเติมเข้ามา ฝ่ายไทยก็ต้องการให้ทุกอย่างกลับไปสู่สภาวะเดิม ทั้งกำลังเสริม และอาวุธหนัก
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาละเมิด MOU43 ฝ่ายไทยจะให้กัมพูชากลับมาอยู่ในร่องในรอยเช่นเดิมอย่างไรนั้น นายมาริษ ย้ำว่า จะต้องเป็นไปตามกฎหมายระหว่างประเทศ และกฎบัตรสหประชาชาติ ที่กรณีที่มีการละเมิดเขตแดน สหประชาชาติ จะขอให้ประเทศที่เริ่มความขัดแย้งไปนั่งคุยกัน ซึ่งที่ผ่านมาก็เคยคุยกันแล้ว จนเกิด MOU 43 ดังนั้น ฝ่ายไทยก็ต้องยืนยันหลักการเดิม และมีหนังสือประท้วงกรณีที่กัมพูชาละเมิด MOU 43 ในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิประเทศ
ส่วนสาเหตุเรียกร้องให้ยกเลิก MOU 43 นั้น นายมาริษ ก็ยอมรับว่าไม่ทราบถึงกระแสเรียกร้องนั้นเช่นเดียวกัน เพราะ MOU 43 เป็นเพียงกรอบการเจรจา และลดความตึงเครียด เพราะการทำให้เส้นเขตแดนชัดเจน จะต้องมีสันติภาพระหว่างกันก่อน ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่หรือปรับกำลัง และปลายทางของ MOU 43 นั้น มีความถูกต้องว่า จะต้องเป็นการเจรจา เพื่อไปตกลงปักปันเขตแดนกัน ซึ่งจะต้องใช้เวลาเจรจา ถกเถียงกัน เพราะไม่มีฝ่ายใดยอมรับการเสียอำนาจอธิปไตย
ดังนั้น ต้องใช้เวลา และเป็นพันธกรณีของทั้ง 2 กรณีในการลดความตึงเครียด พร้อมย้ำว่า MOU 43 ไม่ใช่การตกลงเปลี่ยนแปลงอำนาจเขตแดนใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเขตแดนชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นผลมาจากสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส หลังจากนั้น ก็มีเอกสารอื่น ๆ ตามมา จึงถือว่ามีความซับซ้อน และจะต้องพูดคุยกัน และไม่อาจยกเลิก MOU 43 ได้ เพราะ MOU43 เป็นกลไกที่ไทยและกัมพูชามีไว้ต้องมาพูดคุยกันเรื่องการทำให้เขตแดนมีความชัดเจน ไม่ได้ทำให้เสียดินแดนใด ๆ ทั้งสิ้น
นายมาริษ ยังระบุอีกว่า กรณีที่ฝ่ายกัมพูชา จะนำพื้นที่พิพาทไปสู่การพิจารณาของศาลโลกนั้น เรามี MOU 43 อยู่ ซึ่งระบุพันธกรณีให้ทั้งสองฝ่ายต้องมาเจรจากันเพื่อหาทางออก และท้ายที่สุด กฎหมายระหว่างประเทศ และองค์การสหประชาชาติ ระบุหากมีข้อพิพาทดินแดน ก็จะอ้างถึงประเทศคู่กรณี 2 ฝ่าย ที่จะต้องไปเจรจากัน ทั้งที่ปัจจุบันยังไม่มีการหารือใด ๆ และฝ่ายกัมพูชา ก็รับทราบอยู่แล้วว่าประเทศไทยและอีกกว่า 100 ประเทศ ไม่รับอำนาจศาลโลก และปัจจุบัน ก็ยังมีพันธกรณีที่ฝ่ายกัมพูชา ที่จะต้องมาเจรจากับฝ่ายไทย 2 ฝ่าย และฝ่ายไทย ก็พยายามชักชวนเจรจาให้ฝ่ายกัมพูชามาเจรจา ดังนั้นการที่กัมพูชาดันทุรังจะไปศาลโลกนั้น เป็นไปไม่ได้ และควรมานั่งคุยกันเพื่อลดความตึงเครียดให้มากขึ้น
นายมาริษ ยังย้ำว่า ในกรอบการเจรจานั้น ไม่ได้มีเพียงคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม ไทย-กัมพูชา (JBC) แต่ยังมีคณะกรรมการชายแดนร่วมส่วนภูมิภาค ไทย-กัมพูชา (RBC) ซึ่งเป็นกรอบสำคัญของทหารในพื้นที่ ที่จะช่วยลดความตึงเครียดได้ ดังนั้นจึงเรียกร้องให้กัมพูชามาเจรจา ซึ่งได้เสนอฝ่ายกัมพูชาไปแล้ว รวมถึงการเจรจาในทุก ๆ กรอบ ซึ่งรอคำตอบจากฝ่ายกัมพูชา โดยฝ่ายไทยตั้งใจให้เกิดการเจรจาโดยเร็วที่สุด เพราะถือเป็นการสร้างความเข้าใจ และการตัดสินของศาลโลก ไม่ได้แก้ปัญหาความไม่เข้าใจ
ส่วนกระบวนการใดที่จะช่วยคลี่คลายทำให้สถานการณ์กลับไปเป็นปกตินั้น นายมาริษ ยืนยันว่า หลังจากที่ฝ่ายไทยได้ทักท้วง และเจรจากับกัมพูชาตาม MOU 43 นั้น ฝ่ายกัมพูชา ยอมปรับกำลังและกลบคูเลต แต่เพื่อให้ความตึงเครียดหายไปทั้งหมด จะต้องมีการปรับลดกำลังให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อปี 2567 ไม่มีอาวุธหนัก และไม่มีกำลังพลจำนวนมาก เพื่อนำไปสู่การเจรจาให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
นายมาริษ ยังชี้แจงมาตรการการควบคุมด่านผ่านแดน เป็นเพราะฝ่ายไทย ไม่ทราบว่าสถานการณ์จะพลิกผันหรือไม่ จึงต้องควบคุมรักษาความปลอดภัย และบริเวณชายแดน มีการกระทำธุรกิจผิดกฎหมายมาก การที่นายกรัฐมนตรี ประกาศปราบปรามแก๊งคอลเซนเตอร์ การลักลอบขนยาเสพติด ก็จะช่วยให้สถานการณ์คลี่คลาย เพื่อประโยชน์ความปลอดภัยประชาชน และลดการกระทำผิดกฎหมายบริเวณดังกล่าวลงไปด้วย
พร้อมย้ำว่าเป้าหมายนายกรัฐมนตรีต้องการหลีกเลี่ยงการสูญเสีย เพราะปัจจุบันยังมีการปลุกปั่นสถานการณ์ ที่ไม่ควรกระทำในช่วงนี้ และควรมาร่วมมือกัน เพื่อแสดงเจตนารมณ์ของไทยในการเจรจา เพราะปัญหาเกิดขึ้นจาก 2 ประเทศ จึงต้องพูดคุยกัน 2 ประเทศ
ส่วนท่าทีของกัมพูชาดูอ่อนลงหรือไม่นั้น นายมาริษ ระบุว่า ถือเป็นศักดิ์ศรีของประเทศ และต้องมีความเข้าใจ ซึ่งพูดได้ยาก และการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีมีหลายเรื่องในกลไกต่าง ๆ จึงอยากรักษาเป้าหมายการพูดคุยไว้ ซึ่งอาจต้องหาทางลงให้ทั้ง 2 ฝ่ายผ่านการเจรจา และเชื่อว่าฝ่ายกัมพูชาต้องการเจรจา และต้องให้เวลา พร้อมยอมรับว่าตนเองก็ได้มีการติดต่อทางโทรศัพท์ติดต่อฝ่ายกัมพูชาเป็นเรื่องปกติ พร้อมยกตัวอย่างการเจรจาทางโทรศัพท์ พูดคุยกับมิตรประเทศ จนสามารถช่วยเหลือลูกเรือไทยที่ถูกคุมตัวที่เมียนมาได้ จนได้เดินทางกลับประเทศอย่างปลอดภัย พร้อมมองว่า นายกรัฐมนตรีพยายามโน้มน้าวให้มาเจรจา และไม่ได้กระทำสิ่งที่ผิด และข้อเสนอต่าง ๆ ก็ยังต้องผ่านการเจรจากับฝ่ายไทยก่อน แต่การพึงถูกนำมาเปิดเผย การที่ผู้นำนำมาเปิดเผย หรือประชาชนทั่วไปนำมาเปิดเผยก็เป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามหลักสากล แต่การเจรจากันหลังไมค์ เป็นช่องทางปกติทางการทูตอยู่แล้ว
ขณะที่มาตรการการเยียวยา-ดูแลบริเวณชายแดนนั้น นายมาริษ ระบุว่า นายกรัฐมนตรี มีความเป็นห่วง และได้สั่งการให้ทุกภาคส่วน ทั้งกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข รวมถึงกระทรวงการพัฒนาสังคมฯ มาบูรณาการการทำงาน เพื่อร่วมมือรับผลกระทบ เช่นที่ผ่านมา ภาคเอกชน และภาคส่วนต่าง ๆ ได้รับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรบริเวณชายแดน เพื่อลดผลกระทบ
นายมาริษ ยังกล่าวถึงสถานการณ์การสู้รบในตะวันออกกลางระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านว่า รัฐบาลยังไม่วางใจใด ๆ แม้สถานการณ์จะดีขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้สั่งการกระทรวงการต่างประเทศ ให้เตรียมอำนวยความสะดวกคนไทยที่ประสงค์จะอพยพทั้งหมด ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมแผนอพยพเรียบร้อยแล้ว พร้อมย้ำว่า กระทรวงฯ มีศูนย์ปฏิบัติการเป็นที่พักพิงชั่วคราวสำหรับประชาชนที่ออกจากพื้นที่อันตราย มายังพื้นที่ที่ปลอดภัย โดยได้รับความร่วมมือจากกองทัพในการเคลื่อนย้ายประชาชนออกจากพื้นที่เป็นอย่างดี
อ่านข่าว :
"ภูมิธรรม" เมิน "ฮุน เซน" รับตำแหน่งเสนาธิการทหารสูงสุดกัมพูชา