"จอมพล สมเด็จอัครมหาเสนาบดี เดโช ฮุน เซน" ชื่อเดิมว่า ฮุน โบนัล ถือกำเนิดในปี พ.ศ.2495 ที่ จ.กำปงจาม ทางภาคกลางของกัมพูชา เป็นลูกคนที่ 3 จากพี่น้อง 6 คนในครอบครัวชาวนา ชีวิตในวัยเด็กนั้นยากลำบากถึงขนาดที่เขาต้องออกจากบ้านตั้งแต่อายุเพียง 13 ปี เพื่อไปบวชเรียนกับพระที่วัดแห่งหนึ่งในกรุงพนมเปญ การศึกษาในวัดคงหล่อหลอมให้เขามีความเข้าใจชีวิต แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจในอนาคต
ฮุน เซน ได้เข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์กัมพูชา หรือที่รู้จักกันในนาม "เขมรแดง" ขณะมีอายุ 18 ปี ซึ่งเป็นการเข้าร่วมเพื่อตอบสนองต่อการรัฐประหารของ นายพลลอน นอล ที่โค่นล้มรัฐบาลของเจ้านโรดม สีหนุ ในปี พ.ศ.2513 แม้ฮุน เซน จะปฏิเสธมาตลอดว่าตนเองเป็นเพียงทหารธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้เป็นสมาชิกแกนนำ แต่ข้อมูลระบุว่าเขาคือผู้บัญชาการเขมรแดง และผู้บังคับกองพัน ในระหว่างการรบนี้เองที่เขาต้องสูญเสียดวงตาข้างซ้ายไป กลายเป็นสัญลักษณ์ที่ติดตัวเขามาจนถึงปัจจุบัน

แปรพักตร์สู่เวียดนาม-ปลดแอกเขมรแดง
พ.ศ.2513 ภายใต้การปกครองอันโหดเหี้ยมของ พล พต ผู้นำเขมรแดง ทำให้ชาวกัมพูชาเสียชีวิตไปราว 2,000,000 คน ฮุน เซน ก็ประสบกับจุดเปลี่ยนสำคัญในชีวิต เขารู้สึกไม่พอใจกับระบอบการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์นี้ แต่ด้วยความกลัวการกวาดล้างภายในระบอบ เขาจึงตัดสินใจ แปรพักตร์ ไปยังเวียดนามในเดือน มิ.ย.2520 การตัดสินใจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเพียงการเอาชีวิตรอด แต่ยังเป็นการเปิดประตูสู่โอกาสครั้งสำคัญ
ที่ฮานอย ซึ่งมีแผนยุทธศาสตร์ในการจัดตั้ง "การปฏิวัติกัมพูชาต่อต้าน พล พต" ในเวียดนามใต้ เพื่อโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยกำปูเจีย ด้วยความสามารถและสัญชาตญาณเอาตัวรอดอันเฉลียวฉลาดแกมโกงของ ฮุน เซน ทำให้เขาได้รับความไว้วางใจจากผู้นำทหารเวียดนามอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งขบวนการกู้ชาติกัมพูชา ที่เรียกว่า "แนวร่วมสามัคคีสงเคราะห์ชาติกัมพูชา" ซึ่งร่วมมือกับกองทัพอาสาสมัครเวียดนาม เพื่อเข้าปลดปล่อยดินแดนกัมพูชาจากเขมรแดง

ในเดือน ม.ค.2522 ฮุน เซน ได้นำกำลังพลร่วมกับทหารเวียดนามโค่นล้มระบอบเขมรแดงลงได้สำเร็จ หลังจากนั้น เวียดนามได้เข้ายึดครองกัมพูชา และสนับสนุนให้เขาเข้าดำรงตำแหน่งสำคัญ ฮุน เซน กลับสู่บ้านเกิดในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ขณะมีอายุเพียง 26 ปี และในปี พ.ศ.2525 ได้รับตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี ก่อนจะผงาดขึ้นสู่ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี ในปี พ.ศ.2528 ด้วยวัยเพียง 33 ปี นับเป็นจุดเริ่มต้นของ "4 ทศวรรษแห่งอำนาจ" ที่ไม่เคยมีใครเทียบได้ในยุคนั้น
การรวมศูนย์อำนาจและเงาของความโหดร้าย แม้จะได้รับชัยชนะจากการโค่นล้มเขมรแดง แต่เส้นทางอำนาจของ ฮุน เซน กลับเต็มไปด้วยการช่วงชิงและการปราบปราม ในปี พ.ศ.2536 พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ของเขาพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่จัดโดยสหประชาชาติ แต่ ฮุน เซน ปฏิเสธที่จะลงจากตำแหน่ง และใช้การบีบบังคับจนได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 2 ร่วมกับสมเด็จกรมพระนโรดม รณฤทธิ์ ก่อนที่จะก่อ "รัฐประหารนองเลือด" ในปี พ.ศ.2540 เพื่อขับไล่ เจ้านโรดม รณฤทธิ์ ออกจากอำนาจ เป็นการแสดงออกถึงความเด็ดขาดและไร้ความปรานีในการช่วงชิงอำนาจ

"ตระกูลฮุน" ผูกขาดกัมพูชา จากนาข้าวสู่จักรวรรดิพันล้าน
ภายใต้การปกครองของ ฮุน เซน กัมพูชาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า "เป็นรัฐพรรคเดียวโดยพฤตินัย" การเลือกตั้งถูกควบคุมและไม่เป็นธรรม โดยมีรายงานว่าพรรค CPP ของเขาใช้ทรัพยากรของรัฐในการรณรงค์หาเสียงอย่างต่อเนื่อง สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนย่ำแย่ลงอย่างมาก มีการปราบปรามฝ่ายค้าน สื่ออิสระ และภาคประชาสังคมอย่างเป็นระบบ
ก่อนการเลือกตั้งในปี พ.ศ.2566 ฮุน เซน ได้ใช้ถ้อยคำรุนแรงข่มขู่ฝ่ายค้านและศาล ซึ่งถูกควบคุมโดยพรรค CPP ก็กลายเป็นเครื่องมือในการตั้งข้อหาและลงโทษฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง เช่น กรณีที่พรรค Candlelight Party (CLP) ถูกตัดสิทธิ์จากการเลือกตั้งด้วยเหตุผลที่ "จงใจและมีแรงจูงใจทางการเมือง" และ การตัดสินจำคุก เกิม สุขา ผู้นำฝ่ายค้านในข้อหากบฏถึง 27 ปี ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติระบุว่าเป็นการบิดเบือนกฎหมายเพื่อพุ่งเป้าโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง

นอกจากนี้ ตระกูลฮุน ยังถูกกล่าวหาว่ามีเครือข่ายความสัมพันธ์อันกว้างขวางของการทำข้อตกลงลับและการเล่นพรรคเล่นพวก และ กอบโกยความมั่งคั่งส่วนตัวอย่างมหาศาล ครอบคลุมธุรกิจกว่า 18 ภาคส่วน มูลค่าทรัพย์สินรวมของตระกูลคาดการณ์ว่าอยู่ระหว่าง 500-1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในขณะที่ร้อยละ 40 ของชาวกัมพูชายังคงมีชีวิตอยู่ใต้หรือใกล้เส้นความยากจน
มีข้อกล่าวหาถึงการ ไล่ที่ดิน ที่รุนแรง บางกรณีถึงขั้นใช้การวางเพลิงและงูเห่า ซึ่งถูกยื่นฟ้องต่อศาลอาญาระหว่างประเทศในฐานะอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ แต่กลับไม่มีสมาชิกคนใดในตระกูลฮุน ถูกดำเนินคดีหรือรับผิดชอบต่อการกระทำผิดเหล่านั้น
ฮุน เซน มักกล่าวอ้างถึงนโยบาย "วิน-วิน" ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่นำพากัมพูชาไปสู่สันติภาพและการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 7.7 ต่อปีตลอด 2 ทศวรรษที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม นักวิจารณ์กลับมองว่า ความมั่งคั่งและโอกาสถูกผูกขาดโดยชนชั้นนำกลุ่มเล็ก ๆ และชาวพนมเปญอาจยากที่จะหลีกเลี่ยงการทำเงินให้กับผู้กดขี่ของตนเอง

การส่งต่ออำนาจและอิทธิพลที่ยังคงอยู่ ในเดือน ส.ค.2566 ฮุน เซน ได้ก้าวลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการ โดยส่งไม้ต่อให้กับ "ฮุน มาเนต" บุตรชายคนโต การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกมองว่าเป็นการรวมอำนาจของตระกูลฮุนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เนื่องจาก ฮุน เซน ยังคงดำรงตำแหน่งสำคัญหลายตำแหน่ง รวมถึง ประธานวุฒิสภา และหัวหน้าพรรค CPP ซึ่งทำให้เขามีสถานะเป็นผู้รักษาการประมุขแห่งรัฐได้ เมื่อพระมหากษัตริย์เสด็จฯ ไปต่างประเทศ ส่วน ฮุน มาเนต ยังคงอยู่ภายใต้การจับตาและอิทธิพลอันแข็งแกร่งของบิดา สะท้อนว่าแม้จะเปลี่ยนตัวผู้นำ แต่โครงสร้างอำนาจก็ยังคงเดิม
ฮุน เซน เขย่าชายแดนไทย - คลิปเสียงหลุดสะเทือนรัฐบาล
เกมการเมืองชายแดนและบทบาทต่อประเทศไทย ความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชาและไทยในปัจจุบันยังคงตึงเครียด โดยเฉพาะจาก กรณีพิพาทชายแดน ที่มีเหตุปะทะกันเมื่อวันที่ 28 พ.ค.2568 ทำให้ทหารกัมพูชาเสียชีวิต 1 คน ฮุน เซน ได้เดินทางเยือนพื้นที่ชายแดน จ.อุดรมีชัย พร้อมประกาศระดมพลและอาวุธยุทโธปกรณ์เพิ่มเติม โดยย้ำว่าทหาร "พร้อมปกป้องดินแดนจากการรุกรานของกองทัพไทย"
ในขณะที่ไทยก็ตอบโต้ด้วยการจำกัดการข้ามแดน และกัมพูชาก็ออกมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามนำเข้าผลไม้และผักจากไทย รวมถึงการบล็อกบริการอินเทอร์เน็ต ไฟฟ้า และเชื้อเพลิง
"คลิปเสียงการสนทนา" ระหว่างฮุน เซน และนายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ของไทย ได้สร้างความปั่นป่วนทางการเมืองอย่างหนักในประเทศไทย

ผู้เชี่ยวชาญมองว่า ฮุน เซน ซึ่งเป็นอดีตผู้นำที่มีประสบการณ์สูง มีเล่ห์เหลี่ยม กลยุทธ์ซับซ้อน และชำนาญในการอ่านเกมคู่ต่อสู้ เขาอาจกำลังใช้ "ยุทธวิธีทางการเมือง" เพื่อสร้างความสั่นคลอนและดิสเครดิตแพทองธาร สะท้อนถึงบุคลิกที่ให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก การกระทำเหล่านี้ยิ่งเน้นย้ำถึงบทบาทของฮุน เซน ในฐานะ "จอมบงการ" ผู้ทรงอิทธิพลที่ยังคงขับเคลื่อนพลวัตทางการเมืองในภูมิภาค แม้จะส่งต่อตำแหน่งสูงสุดไปแล้วก็ตาม

ฮุน เซน ยังคงมีบทบาทสำคัญในการผลักดันประเด็นเขตแดนไปยังศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งไทยปฏิเสธอำนาจศาลและยืนยันให้แก้ไขผ่านกลไกทวิภาคี การประชุมร่วมกันในเดือน ก.ย.ที่จะมาถึง จะเป็นอีกหนึ่งบททดสอบความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนภายใต้เงาอิทธิพลของ ฮุน เซน
ฮุน เซน อาจจะเคยเป็นวีรบุรุษผู้ปลดแอกกัมพูชาจากเขมรแดง แต่ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการละเมิดสิทธิมนุษยชน การจำกัดเสรีภาพ และการสร้างระบอบอำนาจที่เอื้อประโยชน์ต่อคนวงใน ด้วยบุคลิคเป็นผู้มีสัญชาตญาณเอาตัวรอดสูง และ การคิดเชิงกลยุทธ์ที่ซับซ้อน จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เขาก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดและคงอยู่ในอำนาจได้อย่างยาวนาน แต่ทว่ามรดกที่ทิ้งไว้ กลับเป็นบาดแผลของความอยุติธรรมและการกดขี่ที่ยากจะลบเลือนจากหน้าประวัติศาสตร์กัมพูชา

ที่มาข้อมูล : News4Jax, Global Witness, Macau Business, Cam Ness, South China Morning Post, Cambridge University Press, Human Rights Watch
อ่านข่าวอื่น :