เมื่อวันที่ 1 ก.ค.2568 ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เดินทางลงพื้นที่รัฐฟลอริดาเพื่อร่วมพิธีเปิดและเยี่ยมชมศูนย์กักกันผู้อพยพ "Alligator Alcatraz" ณ สนามบินดั้งเดิมที่ถูกดัดแปลงในพื้นที่ป่าชุ่มน้ำเอเวอร์เกลดส์ ห่างจากไมอามีประมาณ 60 กิโลเมตร โดยมีผู้ว่าการรัฐฟลอริดา รอน เดซานทิส และ คริสตี โนม รมว.ความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐฯ ร่วมเดินทาง
ศูนย์กักกันแห่งนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ล้อมรอบด้วยหนองน้ำที่มีจระเข้และงูเหลือม ซึ่งทรัมป์ระบุว่าเป็นสถานที่สำหรับกักขัง "ผู้อพยพที่อันตรายที่สุด" และเป็น "คนชั่วร้ายที่สุดในโลก" คาดว่าศูนย์แห่งนี้จะรองรับผู้ถูกกักขังได้ 1,000-3,000 คน และจะเริ่มดำเนินการภายใน 8-60 วัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของหน่วยงานต่าง ๆ
ทรัมป์ย้ำว่า "การเนรเทศ" คือทางออกเดียวสำหรับผู้ถูกกักขัง พร้อมชูว่า Alligator Alcatraz เป็นต้นแบบสำหรับศูนย์กักกันในรัฐอื่น ๆ โดยมีเป้าหมายเพิ่มเตียงกักกันทั่วประเทศเป็น 100,000 เตียง เพื่อรองรับนโยบายเนรเทศครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม โครงการนี้เผชิญแรงต้านจากนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน กลุ่มสิ่งแวดล้อม และชุมชนพื้นเมือง เช่น ชนเผ่ามิกโคซูกีและเซมิโนล ที่กังวลว่าการก่อสร้างจะทำลายระบบนิเวศเอเวอร์เกลดส์ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ เช่น เสือแพนเธอร์ฟลอริดา กลุ่มสิ่งแวดล้อม เช่น Friends of the Everglades และ Center for Biological Diversity ได้ยื่นฟ้องเพื่อหยุดโครงการนี้ โดยระบุว่าขาดการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมตามกฎหมาย

Alligator Alcatraz - นโยบายเนรเทศ
ศูนย์กักกัน Alligator Alcatraz ตั้งอยู่ที่ สนามบินฝึกอบรมและเปลี่ยนผ่านเดด-คอลลิเออร์ ในเขตป่าชุ่มน้ำเอเวอร์เกลดส์ เป็นส่วนหนึ่งของนโยบายเนรเทศผู้อพยพครั้งใหญ่ของทรัมป์. ศูนย์นี้ใช้โครงสร้างชั่วคราว เช่น เต็นท์และรถพ่วง มีรั้วลวดหนามและกล้องวงจรปิดกว่า 200 ตัว โดยมีค่าใช้จ่ายดำเนินการปีละ 450 ล้านดอลลาร์ ซึ่งบางส่วนได้รับการสนับสนุนจาก FEMA
รอน เดซานทิส ยืนยันว่าศูนย์นี้จะไม่กระทบสิ่งแวดล้อม เนื่องจากใช้โครงสร้างชั่วคราวและไม่มีการตัดพืชพรรณ อย่างไรก็ตาม นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน เช่น Thomas Kennedy จาก Florida Immigrant Coalition วิจารณ์ว่า การกักขังผู้อพยพในเต็นท์ท่ามกลางความร้อนและฤดูพายุเฮอริเคนเป็น "การทารุณกรรมโดยเจตนา"
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังมีแผนเปิดใช้เรือนจำอัลคาทราซในซานฟรานซิสโกอีกครั้ง เพื่อกักขังอาชญากรที่อันตรายที่สุด และส่งผู้อพยพบางส่วนไปยังเรือนจำในกวนตานาโม เบย์ และเมกะคุกในเอลซัลวาดอร์ ปัจจุบัน ICE มีผู้ถูกกักขังกว่า 59,000 คน เกินความจุร้อยละ 140 สะท้อนถึงความท้าทายในการบริหารจัดการนโยบายเนรเทศครั้งใหญ่ของทรัมป์

ดรามาร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill"
ในวันเดียวกัน วุฒิสภาสหรัฐฯ ที่นำโดยพรรครีพับลิกันผ่านร่างกฎหมาย "One Big Beautiful Bill" ความยาว 940 หน้า ด้วยคะแนนเสียง 50-50 โดย เจ.ดี.แวนซ์ รองประธานาธิบดี ลงคะแนนชี้ขาดให้ผ่านด้วยคะแนนห่างเพียง 1 เสียง หลังการอภิปรายยาวนานกว่า 24 ชั่วโมง
ร่างกฎหมายนี้ครอบคลุมงบประมาณและนโยบายภาษี รวมถึงการเพิ่มงบประมาณสำหรับการเนรเทศผู้อพยพและการบังคับใช้กฎหมายคนเข้าเมือง อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมายนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยเฉพาะจาก อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกและอดีตที่ปรึกษาคนสำคัญของทรัมป์
มัสก์ออกมาแสดงความผิดหวังต่อร่างกฎหมายนี้ผ่านโซเชียลมีเดีย โดยระบุว่า การใช้จ่ายงบประมาณมหาศาลจะเพิ่มหนี้สาธารณะสหรัฐฯ อีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์ และบั่นทอนการทำงานของกระทรวงประสิทธิภาพรัฐบาลที่เขาร่วมก่อตั้ง มัสก์ชี้ว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่เพียงเพิ่มภาระหนี้ แต่ยังตัดงบประมาณหน่วยงานสำคัญ เช่น USAID ซึ่งอาจส่งผลร้ายต่อความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมทั่วโลก ร่างกฎหมายนี้ยังถูกคัดค้านโดยสมาชิกวุฒิสภาจากรีพับลิกัน 3 คน และต้องรอการพิจารณาอีกครั้งในสภาผู้แทนราษฎรก่อนบังคับใช้

ตัดงบ USAID เสี่ยงตาย 14 ล้านคนอีก 5 ปี
วารสารทางการแพทย์ The Lancet รายงานว่า การตัดงบประมาณของสำนักงานเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (USAID) อาจนำไปสู่การเสียชีวิตกว่า 14 ล้านคนภายในปี 2573 โดยเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ถึง 4.5 ล้านคนในประเทศกำลังพัฒนา
รายงานระบุว่า ในช่วงปี 2544-2564 USAID ช่วยป้องกันการเสียชีวิตของผู้คนกว่า 90 ล้านคนทั่วโลก สหรัฐฯ ถือเป็นผู้ให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมรายใหญ่ที่สุด โดยใช้จ่ายกว่า 68,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.2 ล้านล้านบาท) ในปี 2566 เพื่อสนับสนุนโครงการในกว่า 60 ประเทศ
การตัดงบ USAID ของทรัมป์ยังส่งผลให้ประเทศอื่น ๆ เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ลดงบประมาณความช่วยเหลือของตนตามไปด้วย สร้างความกังวลต่อการขาดแคลนทรัพยากรในโครงการมนุษยธรรมทั่วโลก นักวิจารณ์มองว่า การตัดงบประมาณนี้อาจบ่อนทำลายบทบาทผู้นำด้านมนุษยธรรมของสหรัฐฯ และเพิ่มความทุกข์ยากในประเทศที่พึ่งพาความช่วยเหลือ
อ่านข่าวอื่น :
อุตสาหกรรมจังหวัดลุยสอบไฟไหม้ โรงงานทิชชูยันซ้อมหนีไฟประจำ
ลงทะเบียนเที่ยวไทยคนละครึ่ง 2568 ไม่จำกัดคน แต่ใครจ่ายก่อนได้สิทธิ์ก่อน