วันนี้ (15 ก.ค.2568) กำแพงภาษีนำเข้าสินค้าไทยของสหรัฐฯ ที่สูงถึงร้อยละ 36 ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 สร้างความกังวลอย่างหนักให้กับผู้ประกอบการยางพาราในประเทศไทย สถานการณ์ราคายางพาราตกต่ำตั้งแต่เดือน เม.ย. โดยเฉพาะน้ำยางสดที่ลดจาก 56 บาท/กิโลกรัม เหลือเพียง 54 บาท/กิโลกรัมในปัจจุบัน
นางพัชรา รองเดช ผู้จัดการใหญ่สหกรณ์การเกษตรย่านตาขาว จำกัด จ.ตรัง ซึ่งรวบรวมผลผลิตยางพาราจากสมาชิกเพื่อแปรรูปเป็นยางแผ่นรมควันและยางอัดก้อนสำหรับส่งขายในตลาดกลางยางพารา เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือน เม.ย. บริษัทผู้ส่งออกยางพาราได้ชะลอและลดคำสั่งซื้อยางอัดก้อนลงอย่างมาก จากเดิมที่มีปริมาณสูงถึง 300,000 กิโลกรัม/เดือน เหลือเพียง 60,000 กิโลกรัม/เดือน คิดเป็นการลดลงกว่าร้อยละ 80 ส่งผลกระทบหนักต่อสหกรณ์และชาวสวนยางในพื้นที่
ด้านนายเพิก เลิศวังพง รักษาการแทนผู้ว่าการการยางแห่งประเทศไทย (กยท.) กล่าวว่า กยท.เตรียมจัดการประชุมด่วนกับผู้ประกอบการยางพาราในวันพรุ่งนี้ (16 ก.ค.2568) เพื่อระดมความคิดเห็นและหาแนวทางรับมือผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ พร้อมพิจารณามาตรการแก้ไขปัญหาราคายางที่ตกต่ำต่อเนื่อง โดยย้ำให้ทุกฝ่ายตั้งสติ อย่าตื่นตระหนก และรอความชัดเจนจากประเทศผู้นำเข้า ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากภาษีนี้เช่นกัน
นายเพิกยังระบุว่า อาจมีการใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ส่งออกเพื่อป้องกันการกดราคายางจากเกษตรกร พร้อมชี้ว่า การย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากนโยบายของทรัมป์ยังมีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการจึงต้องจับตานโยบายอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์นี้สะท้อนความท้าทายของวงการยางพาราไทยที่ต้องเร่งหาทางออกเพื่อปกป้องเกษตรกรและรักษาเสถียรภาพของอุตสาหกรรมท่ามกลางความผันผวนของการค้าโลก
อ่านข่าวอื่น :
ราชกิจจาฯ ประกาศ ยกเลิกพระบรมราชโองการสถาปนา-ตั้งสมณศักดิ์พระ 81 รูป
แถลงจับ "สีกากอล์ฟ" พบ 3 ปี เงินหมุนเวียน 385 ล้าน เตรียมขยายผลเส้นทางเงิน