ไม่ใช่แค่ “สทร.” หรือ “เสมียนประเทศ” ที่สถาปนาตัวเอง แต่วันนี้ ( 22 ก.ค. 2568) จิตวิญญาณตัวจริงของค่ายสีแดง “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรีจะรับบทเป็น “วิทยากรพิเศษ” ในงานเลี้ยงดินเนอร์พรรคร่วม ซึ่งครั้งนี้ “พรรคเพื่อไทย” เป็นเจ้าภาพ โดยจัดขึ้นที่โรงแรมอีสติน แกรนด์ พญาไท
แม้ “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ในฐานะรมว.ท่องเที่ยวและกีฬา จะออกตัวว่า การร่วมมื้อเย็นของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่มีได้มีอะไรพิเศษ เนื่องจากหลังปรับคณะรัฐมนตรีแล้ว ยังไม่ได้พบปะพูดคุยกันในฐานะ สส.ร่วมรัฐบาลเลยก็ตาม
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า นับจากศาลมีคำสั่งให้ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี หยุดปฏิบัติหน้าที่และยังมีสถานะ “รมว.วัฒนธรรม” ในครม.การปรับครม.ครั้งที่ผ่านมา แต่อำนาจก็ไม่ได้มั่นคงมากนัก หลังพรรคภูมิใจไทย ออกไปเป็นฝ่ายค้าน

ประเดิมประชุมสภาฯ เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 2568 นัดแรกล่ม ไม่เป็นท่า ทั้ง ๆที่เปิดประชุมวันแรก แต่สส.มาไม่ครบองค์ประชุม ทำเอา “พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน” รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ต้องชิงสั่งปิดการประชุมอย่างกะทันหัน
และตามมาติด ๆ เมื่อวันที่ 17 ก.ค.2568 และ “พิเชษฐ์” ก็เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ ครั้งที่ 2 สั่งปิดประชุมสภาเพื่อชิงหนีสภาล่มอีกรอบหนึ่ง จนถึงขั้นมีการกำชับสั่งละลายพฤติกรรมสส. ให้เข้าร่วมครบองค์ประชุมมาแล้ว
เสียงปริ่มน้ำของรัฐบาล ไม่ได้สั่นคลอนเฉพาะพรรคเพื่อไทย แต่ยังสะเทือนต่อชะตากรรมของสส.และพรรคร่วมในอนาคตว่า จะเยื้ออยู่ต่อและลากยาว ได้อีกนานเพียงใด การเดินสายเปิดตัวรัว ๆ ของ “ทักษิณ” หลังใช้เวลากบดานระยะหนึ่ง ในช่วงคลิปเสียง “ลุง-หลาน” หลุด ก่อนจะออกมาตั้งหลักโต้ “แพทองธาร” ถูก สมเด็จ ฮุน เซน “หักหลัง”
เป็นเหตุ “ทักษิณ-สมเด็จ ฮุน เซ็น” สะบั้นสัมพันธ์ที่มีมานานกว่า 30 ปี เป็นที่มาของการเปิดปฏิบัติการของตำรวจ CIB ภายใต้การนำของพล.ต.ท.ไตรรงค์ ผิวพรรณ ผบช.สอท. เด็ดปีก “ก๊ก อาน” และเครือข่าย ยึดอายัดทรัพย์ “ออกญ าก๊ก อาน” นักธุรกิจกัมพูชาที่สนิทสนมกับสมเด็จ ฮุน เซน ในไทยได้มากกว่า หนึ่งพันล้าน

และยังออกหมายจับลูก ก๊ก อาน จำนวน 3 คน คือ “จุรี-ภูเฌอหลิน-นายกิตติศักดิ์ คล่องกิจกล” ที่สวมบัตรประชาชนไทย สถานการณ์ดังกล่าวเหมือนคนละเรื่อง หนังคนม้วน แต่ทั้งหมดคือเรื่องเดียวกัน
ปัญหาเฉพาะหน้าที่ “ทักษิณ” และ “แพทองธาร” ต้องเผชิญ ไม่ต่างจาก “สีนามื”ลูกใหญ่ ไม่ใช่แค่รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ สุญญากาศเรื่องความมั่นคง ความขัดแย้งเรื่องเขตแดนไทย-กัมพูชา บริเวณช่องบก และความรุนแรงชายแดนใต้ ที่ยังหาทางลงไม่ได้ และคดีใหญ่ที่หายใจรดต้นคอ
ไม่ว่า จะเป็นคดี112 ของ “ทักษิณ” ที่ศาลจะตัดสินในวันที่ 22 ส.ค.นี้ และคดีป่วยทิพย์ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จะนัดฟังคำสั่งในคดีวันที่ 30 ก.ค.นี้
ส่วนคดี “แพทองธาร” ผิดจริยธรรมร้ายแรงปมคลิปเสียงสนทนากับ สมเด็จฮุน เซน หลังศาลรัฐธรมนูญ สั่งหยุดปฎิบัติหน้าที่ และต่อมาผู้ถูกร้องได้มีการขอขยายเวลาไปอีก 15 วัน เพื่อชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา และคาดว่าจะมีการพิจารณาคดีดังกล่าวภายในเดือนส.ค.นี้เช่นกัน

ดังนั้น “ทางรอด”และ “ทางเลือก” ที่เหลือของ “ทักษิณ-แพทองธาร-เพื่อไทย” ในห้วงสึนามิการเมือง นอกจากการ “เป่ามนต์” กระชับอำนาจที่เหลือ โดยเรียก “พรรคร่วม” มาหารือไม่ให้แตกแถว ภายใต้ข้อแลกเปลี่ยนที่สมประโยชน์แล้ว ท้ายสุดมีการวิเคราะห์ว่า “ทักษิณ” อาจพลิกสู้ เตรียมการรับมือ ตั้งรัฐบาลใหม่
มีการวิเคราะห์ว่า หลังศาลฯไต่สวนคดีชั้น 14 รพ.ตำรวจเสร็จแล้ว คำว่า “ไต่สวน” ยังหมาย ว่า ศาลจะสามารถเรียกมาฟังคำสั่งวันไหนก็ได้ และมีความเป็นไปได้สูงมากที่ “ทักษิณ” อาจต้องให้ “แพทองธาร” ลูกสาวลาออกก่อนที่จะถูกศาลเรียกมาฟังคำสั่ง เพราะต้องการมีการจัดทัพรัฐบาลใหม่และดัน “ชัยเกษม นิติศิริ” เป็นนายกรัฐมนตรี
ทางเลือกนี้ ถือว่าขรุขระพอสมควรสำหรับสส.พรรคเพื่อไทย เนื่องจาก “ชัยเกษม” ไม่ได้การยอมรับจากสส.ส่วนใหญ่ หากลากไปได้ก็อยู่ไม่นาน และอาจส่งผลทำให้คะแนนนิยมพรรคร่วงหนักกว่าเดิม ที่สำคัญ “ทักษิณ”จะเลือกเดินหมากให้ตัวเองอย่างไร ในกรณีเลวร้ายที่สุด หาก ต้องกลับเข้าสู่เรือนจำ “อยู่ต่อ” หรือ “หนี” ไปแดนไกล

หรือทางเลือกที่ 2 คือ ทักษิณ อาจต้องกลับไปจับมือกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม้จะเป็นไปได้ยากมาก เนื่องจากปัจจุบัน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นองคมนตรี และปฏิเสธมาตลอดที่จะหวนคืนสู่การเมือง
แต่ต้องไม่ลืมว่า ทุกครั้งที่นิด้าโพลเผยผลสำรวจ ล่าสุดเมื่อวันที่ 13 ก.ค.2568 พบว่า 42.37% อยากให้ "แพทองธาร" ลาออกเพื่อหานายกฯ ใหม่ ขณะที่ 39.92% ควรยุบสภาฯ และ 38.82% หนุน "พล.อ.ประยุทธ์" เป็นนายกฯ คนต่อไป

มีการประเมินกันว่า การเข้ามาเป็นนายกฯ ในสถานะ “คนกลาง” ของพล.อ. ประยุทธ์ เพื่อเข้ามาแก้ไขวิกฤตการเมือง เศรษฐกิจและความมั่นคง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย เนื่องจากที่ผ่านมาพล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเป็นเวลาประมาณ 6 ปีกว่า ๆ ยังอยู่ไม่ครบ 8 ปี
หากมีการผลัดไม้ให้ “พล.อ.ประยุทธ์” เข้ามาเป็นนายกฯคนกลางก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ปี 5 เดือน เท่านั้น จนกว่าจะมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง แม้จะยากที่จะเป็นไปได้ก็ตาม แต่สำหรับการเมืองไทย อะไร ๆ ก็เกิดขึ้นได้เสมอ
อ่านข่าว