ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ทรัมป์เรียกตัวเอง "ปธน.แห่งสันติภาพ" อ้างยุติขัดแย้งทั่วโลกใน 6 เดือน

การเมือง
17:40
214
ทรัมป์เรียกตัวเอง "ปธน.แห่งสันติภาพ" อ้างยุติขัดแย้งทั่วโลกใน 6 เดือน
"ผู้นำแห่งสันติภาพ" ทรัมป์ประกาศยุติความขัดแย้งทั่วโลกนับไม่ถ้วนในครึ่งปี ความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา ก็เป็นหนึ่งใน "ชัยชนะ" ที่เขาภูมิใจ แต่เบื้องหลังคำประกาศอันยิ่งใหญ่ สถานการณ์ยังคงร้อนระอุในหลายสมรภูมิ

เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐอเมริกา ได้เปิดเผยผ่านทรูธโซเชียล โดยประกาศความสำเร็จในการเป็นตัวกลางยุติความขัดแย้งหลายแห่งทั่วโลกในช่วงเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา พร้อมทั้งเรียกตัวเองว่าเป็น "ประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ" ซึ่งรวมถึงการเจรจาหยุดยิงระหว่างไทยและกัมพูชาที่เกิดขึ้นในวันเดียวกันนี้ด้วย

ในช่วงเวลาเพียง 6 เดือน ผมสามารถยุติสงครามได้หลายแห่ง ผมภูมิใจที่ได้เป็นประธานาธิบดีแห่งสันติภาพ

ความขัดแย้งสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DRC) และรวันดา

ความขัดแย้งระหว่างสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและรวันดาเป็นความขัดแย้งที่ดำเนินมานานหลายทศวรรษ จนกระทั่งเมื่อต้นปี 2568 ความตึงเครียดได้ทวีความรุนแรงขึ้นอีกครั้ง หลังจากกลุ่มกบฏ M23 ยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกของ DR คองโก รวมถึงกรุงโกมา เมืองบูกาวู และสนามบิน 2 แห่ง

เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายพันคนและพลเรือนต้องพลัดถิ่น หลังจากการสูญเสียดินแดน รัฐบาลในกินชาซาจึงหันไปขอความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ

โดยมีรายงานว่าสหรัฐฯ เสนอการเข้าถึงแร่ธาตุสำคัญ เนื่องจากสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกตะวันออก อุดมไปด้วยแร่โคลแทนและทรัพยากรอื่น ๆ ที่จำเป็นต่ออุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก

เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.2568 สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก (DR คองโก) และรวันดา ได้ลงนามข้อตกลงสันติภาพในกรุงวอชิงตัน โดยมีสหรัฐฯ และกาตาร์เป็นตัวกลางเจรจา เป้าหมายเพื่อยุติความขัดแย้งที่สร้างความเสียหายมานาน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ กล่าวถึงข้อตกลงนี้ว่าเป็น "ชัยชนะอันรุ่งโรจน์" และเขายังเน้นย้ำว่า "วันนี้ ความรุนแรงและการทำลายล้างได้สิ้นสุดลง และทั้งภูมิภาคจะเริ่มต้นบทใหม่แห่งความหวังและโอกาส"

ความขัดแย้งอินเดียและปากีสถาน

ความตึงเครียดระหว่างอินเดียและปากีสถานทวีความรุนแรงขึ้น หลังเหตุกราดยิงนักท่องเที่ยวในเมืองพาฮาลแกม แคชเมียร์ฝั่งอินเดีย เมื่อวันที่ 22 เม.ย.2568 ซึ่งคร่าชีวิต 26 คน โดยอินเดียกล่าวหาว่ากลุ่มติดอาวุธ "ลาชการ์-อี-ตาอีบา" ที่มีฐานในปากีสถานอยู่เบื้องหลัง ขณะที่ปากีสถานยืนยันว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุโจมตีที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด

ความสัมพันธ์ระหว่างอินเดียและปากีสถานย่ำแย่ลงอย่างรวดเร็ว หลังเหตุโจมตีแคชเมียร์ อินเดียตอบโต้ด้วยการขับไล่นักการทูต ปิดด่านชายแดน ยกเลิกวีซา และระงับสนธิสัญญาแบ่งปันน้ำ ซึ่งปากีสถานก็ใช้มาตรการตอบโต้ที่คล้ายกัน ทหารอินเดียและปากีสถานยิงปะทะข้ามเส้นควบคุมในแคชเมียร์ ต่อเนื่องทุกคืนนับตั้งแต่วันที่ 24 เม.ย.2568

จนกระทั่งวันที่ 7 พ.ค.2568 กองทัพอินเดียเปิดปฏิบัติการซินดูร์ โจมตีค่ายผู้ก่อการร้าย 9 จุดในปากีสถานและดินแดนแคชเมียร์ฝั่งปากีสถาน เพื่อตอบโต้เหตุสังหารนักท่องเที่ยว จุดชนวนให้ทั้ง 2 ประเทศเปิดฉากปะทะกันไปมาและทวีความรุนแรงขึ้น

ต่อมาวันที่ 10 พ.ค.2568 โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ เปิดเผยผ่านทรูธโซเชียลว่า อินเดียและปากีสถานตกลงที่จะหยุดยิงอย่างเต็มรูปแบบและในทันที หลังจากการพูดคุยที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง โดยรัฐมนตรีต่างประเทศปากีสถานได้ยืนยันการหยุดยิงเช่นกัน ขณะที่สำนักข่าว AFP รายงานอ้างแหล่งข่าวในรัฐบาลอินเดียว่า อินเดียและปากีสถานได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง โดยเป็นการเจรจาทวิภาคี หลังจาก ปธน.ทรัมป์ ระบุว่าข้อตกลงดังกล่าวเกิดขึ้นผ่านการเจรจาที่สหรัฐฯ เป็นตัวกลาง

อ่านข่าว : ผู้นำสหรัฐฯ เผย "อินเดีย-ปากีสถาน" ยอมหยุดยิง มีผลทันที

ความขัดแย้งรัสเซียและยูเครน

สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยูเครนที่ดำเนินมาแล้วประมาณ 3 ปีครึ่ง ยังคงไม่มีความคืบหน้าในการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงอย่างแท้จริง แม้จะมีการเจรจาหลายรอบ ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 ทรัมป์ได้ประกาศให้รัสเซียยุติสงครามในยูเครนภายในเวลาเพียง 10-12 วัน หากไม่ปฏิบัติตาม ทรัมป์ขู่ว่าจะใช้มาตรการกดดันทางภาษี โดยจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากประเทศที่ยังคงเป็นคู่ค้ากับรัสเซียสูงถึงร้อยละ 100

ทรัมป์กล่าวว่าไม่มีเหตุผลที่จะต้องรอ และแสดงความผิดหวังที่รัสเซียยังคงโจมตีพลเรือนยูเครนอย่างต่อเนื่อง จนไม่อยากพูดคุยกับ ปธน.ปูติน อีกต่อไป อย่างไรก็ตามทางฝั่งรัสเซีย ปูตินไม่เคยรับปากหรือรับทราบเกี่ยวกับสิ่งที่ทรัมป์ขีดไว้
ขณะที่ทางฝั่งยูเครน หัวหน้าสำนักงาน ปธน.ยูเครน ได้ชื่นชมทรัมป์ที่ยืนหยัดอย่างมั่นคงและส่งสารสันติภาพที่ชัดเจน รวมถึงขอบคุณสำหรับท่าทีที่ชัดเจนในครั้งนี้

ความขัดแย้งอิหร่านและอิสราเอล

ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน เป็นความตึงเครียดที่ซับซ้อนและดำเนินมานานหลายทศวรรษ การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นหลังจากการปฏิวัติอิสลามในปี 2522 ซึ่งทำให้อิหร่านกลายเป็นปฏิปักษ์ทางอุดมการณ์ของอิสราเอลอย่างถาวร ความตึงเครียดนี้ได้ขยายวงกว้างออกไปเรื่อย ๆ จากสงครามตัวแทนและปฏิบัติการลับต่าง ๆ จนกระทั่งปะทุขึ้นเป็นการเผชิญหน้าโดยตรงที่น่ากังวลอย่างยิ่งในปัจจุบัน

อ่านข่าว : ปูมหลังขัดแย้ง 46 ปี! จุดแตกหักมิตรรักสู่ศัตรู "อิสราเอล-อิหร่าน"

เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.2568 ที่ผ่านมา ข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและอิหร่านที่ประกาศโดย ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มมีผลบังคับใช้เพื่อยุติวิกฤต 12 วัน และคลี่คลายสถานการณ์ในตะวันออกกลางชั่วคราว การประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่กองทัพสหรัฐฯ โจมตีทางอากาศต่อโครงสร้างพื้นฐานนิวเคลียร์ 3 แห่งของอิหร่านเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. เพื่อกดดันให้อิหร่านบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์และยุติความขัดแย้งกับอิสราเอล

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอลยืนยันการตอบรับข้อเสนอหยุดยิงของทรัมป์ พร้อมขอบคุณสหรัฐฯ ที่สนับสนุนการป้องกันประเทศและต่อต้านภัยคุกคามนิวเคลียร์จากอิหร่าน ในขณะที่ประธานาธิบดีมัสซูด เปเซชเคียน ของอิหร่านมองว่าการตอบรับของอิสราเอลเป็นชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ และพร้อมแก้ไขปัญหากับสหรัฐฯ ผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศและการเจรจาทางการทูต 

อย่างไรก็ตาม แม้จะมีข้อตกลงหยุดยิง ทั้ง 2 ฝ่ายยังคงโจมตีตอบโต้กัน ทำให้ ปธน.ทรัมป์ แสดงความไม่พอใจอย่างมากต่อรายงานที่ว่ากองทัพอิสราเอลทิ้งระเบิดโจมตีดินแดนอิหร่าน และเตือนว่าเป็นการละเมิดข้อตกลง

ความขัดแย้งอิสลาเอลและฮามาส

วันที่ 7 ต.ค.2566 กลุ่มฮามาสได้เปิดฉากโจมตีอิสราเอลอย่างไม่คาดคิด การโจมตีดังกล่าวทำให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกันจำนวนมากในอิสราเอล อิสราเอลจึงประกาศภาวะสงครามและตอบโต้ด้วยการโจมตีทางอากาศและปฏิบัติการทางทหารภาคพื้นดินในฉนวนกาซาอย่างหนักหน่วง

ต้นเดือน ก.พ.2568 ทรัมป์ได้ประกาศแผนการที่สหรัฐฯ จะ "เข้าควบคุม" และ "เป็นเจ้าของ" ฉนวนกาซา โดยเสนอให้มีการโยกย้ายประชากรปาเลสไตน์ไปยังประเทศอาหรับเพื่อนบ้าน (อียิปต์และจอร์แดน) และพัฒนาฉนวนกาซาให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ หรือ "ริเวียราแห่งตะวันออกกลาง" เขากล่าวว่าจะไม่ปฏิเสธการใช้กำลังทหารอเมริกันหากจำเป็น ข้อเสนอของทรัมป์ได้รับเสียงประณามอย่างรุนแรงจากประชาคมระหว่างประเทศ

นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ของอิสราเอล เดินทางถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อพบปะ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ วันที่ 7 ก.ค.2568 ซึ่งเป็นการเยือนทำเนียบขาวครั้งที่ 3 นับตั้งแต่ทรัมป์กลับมารับตำแหน่งสมัยที่ 2 การหารือครั้งนี้มุ่งเน้นผลักดันข้อตกลงหยุดยิงในกาซาเป็นเวลา 60 วัน และปล่อยตัวประกันชาวอิสราเอลที่ยังคงถูกจับโดยกลุ่มฮามาส ขณะที่รายงานระบุว่าฮามาสสูญเสียการควบคุมกาซาไปแล้วร้อยละ 80 จากการโจมตีของอิสราเอล 

ในการเยือนครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีเนทันยาฮูยังได้นำจดหมายเสนอชื่อทรัมป์ชิง รางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ

อ่านข่าว : ทรัมป์-เนทันยาฮูถกเข้ม! ลุ้นข้อตกลงหยุดยิงกาซา-ปล่อยตัวประกัน

ความขัดแย้งไทยและกัมพูชา

ความขัดแย้งชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชาก็เป็นอีกหนึ่งกรณีที่สหรัฐฯ เข้ามามีบทบาท โดยทรัมป์ได้เตือนว่าจะไม่ทำข้อตกลงการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ หากความขัดแย้งยังคงดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 28 ก.ค.2568 การเจรจาตกลงหยุดยิง โดยมีมาเลเซียเป็นเจ้าภาพร่วมกับสหรัฐอเมริกา และมีผู้แทนของจีนเข้าร่วม ผู้นำมาเลเซียระบุว่า ทั้งสองฝ่ายตกลงหยุดยิงโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข

ทั้งนี้ในวันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาการนายกฯ แถลงหลังเดินทางกลับจากการเจรจาหยุดยิงร่วมกับกัมพูชาที่ประเทศมาเลเซียว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ปธน.สหรัฐฯ โทรศัพท์มาแสดงความยินดีที่ประเทศไทยบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชา โดยชื่นชมว่าเป็นความกล้าหาญของประเทศไทยที่เปิดใจ และทำให้เป็นตัวอย่างในการรักษาสันติภาพให้เกิดขึ้นระหว่าง 2 ประเทศ

ด้านทรัมป์เองก็ได้โพสต์ผ่านทรูธโซเชียล ระบุว่าได้พูดคุยกับผู้นำของทั้ง 2 ประเทศและแสดงความยินดีกับข้อตกลงหยุดยิงและสันติภาพ พร้อมหวังว่าไทยและกัมพูชาจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นอกจากนี้ยังกล่าวว่าทั้ง 2 ประเทศต้องการกลับสู่โต๊ะเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ และตนเองก็ตั้งตารอที่จะปิดดีลข้อตกลงทางการค้ากับทั้ง 2 ประเทศ

อ่านข่าว : "ทรัมป์" ไฟเขียวเจรจาการค้าต่อ หลังไทย-กัมพูชา หยุดยิง

แม้จะมีการประกาศข้อตกลงหยุดยิง แต่สถานการณ์ในพื้นที่ยังคงน่าเป็นห่วง กองทัพบกของไทย รายงานว่าฝ่ายไทยได้ปฏิบัติตามข้อตกลงอย่างเคร่งครัดและหยุดยิงบริเวณแนวชายแดนไทย-กัมพูชาทันทีที่ถึงกำหนดเวลา

แต่เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งเมื่อถึงกำหนดเวลาดังกล่าว ฝ่ายไทยยังคงตรวจพบว่าฝ่ายกัมพูชาได้มีการใช้อาวุธโจมตีเข้ามาในเขตแดนของประเทศไทยอยู่หลายจุด ซึ่งถือเป็นการละเมิดข้อตกลงอย่างจงใจ ฝ่ายไทยจำเป็นจะต้องใช้มาตรการโต้กลับอย่างเหมาะสม ภายใต้สิทธิอันชอบธรรมในการป้องกันตนเอง ยืนยันฝ่ายไทยไม่ได้ใช้กำลังทหารเพื่อรุกราน แต่เพื่อป้องกันการรุกล้ำและรักษาอธิปไตยของชาติ ภายใต้กฎกติกาสากล

แหล่งข้อมูล : BBC , BBC , "ทรัมป์" ขีดเส้นตายใหม่ยุติสงครามรัสเซีย-ยูเครน , Al Jazeera Media Network , วิกิพีเดีย , Atlantic Council experts

เรียบเรียง : ศศิมาภรณ์ สุขประสิทธิ์ นักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปะศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

อ่านข่าว : "ฮุน มาเนต" เผย "ทรัมป์" ต่อสายยินดีหลังเจรจาหยุดยิง

"ฮุน เซน" โพสต์ภาพคู่ "ทรัมป์-อันวาร์" ขอบคุณผลักดันหยุดยิง ช่วยชีวิตคนจำนวนมาก