วันนี้ (31 ก.ค.2568) สถานการณ์ทางการค้าระหว่างประเทศกำลังเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ เมื่อ ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าใหม่กับเกาหลีใต้ก่อนเส้นตายการขึ้นภาษีวันที่ 1 ส.ค.2568 ในขณะเดียวกัน การเจรจากับอินเดียกลับหยุดชะงักลง โดยทรัมป์ได้ขู่ที่จะเรียกเก็บภาษีที่สูงกว่าและมาตรการลงโทษเพิ่มเติม
ปิดดีลใหม่ "เกาหลีใต้" ภาษีร้อยละ 15
เมื่อวันที่ 30 ก.ค.2568 ปธน.ทรัมป์ ได้ประกาศข้อตกลงทางการค้าใหม่กับเกาหลีใต้ ซึ่งจะมีการเรียกเก็บภาษีร้อยละ 15 สำหรับสินค้าจากเกาหลีใต้ การประกาศนี้เกิดขึ้นก่อนที่มาตรการ ภาษีตอบโต้ร้อยละ 25 ที่เคยถูกพักไว้ในเดือน เม.ย.จะหมดอายุลงในวันศุกร์นี้ (1 ส.ค.2568) ถึงแม้จะมีการทำข้อตกลงใหม่ แต่ภาษีร้อยละ 15 นี้ก็ยังคงสูงกว่าอัตราภาษีขั้นต่ำร้อยละ 10 ที่เกาหลีใต้และอีกหลายสิบประเทศถูกเรียกเก็บมาตั้งแต่เดือน เม.ย.
ก่อนหน้านี้ ภาษีของทรัมป์ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเกาหลีใต้แล้ว โดยผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ในไตรมาสแรกของปีนี้หดตัวลงร้อยละ 0.1 ต่อปี ซึ่งเป็นการติดลบครั้งแรกในรอบ 4 ปี การต้องเผชิญกับภาษีร้อยละ 25 คงจะสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจที่รุนแรงยิ่งขึ้น
ภายใต้ข้อตกลงใหม่นี้ สินค้านำเข้าจากเกาหลีใต้ เช่น รถยนต์ จะเผชิญกับภาษีที่ลดลงเหลือร้อยละ 15 นอกจากนี้ รมว.พาณิชย์สหรัฐฯ ฮาวเวิร์ด ลุตนิค ระบุว่า เกาหลีใต้จะไม่ถูกปฏิบัติแย่กว่าประเทศอื่น ๆ ในเรื่องของเซมิคอนดักเตอร์และยา ส่วนภาษีเหล็ก อะลูมิเนียม และทองแดง ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เกาหลีใต้เป็นแหล่งนำเข้าสินค้าอันดับ 7 ของสหรัฐฯ โดยปีที่แล้วมีการส่งออกสินค้ามูลค่า 132,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ มายังสหรัฐฯ สินค้าหลัก ได้แก่ รถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์ เซมิคอนดักเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
ในทางกลับกัน สหรัฐฯ ส่งออกสินค้ามูลค่า 66,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไปยังเกาหลีใต้ในปีที่ผ่านมา โดยมีน้ำมันและก๊าซ รวมถึงเครื่องจักรอุตสาหกรรมเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ทั้ง 2 ประเทศมีความตกลงการค้าเสรีหลายฉบับในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมา และมีการเจรจาใหม่หลายครั้ง รวมถึงในสมัยบริหารของทรัมป์ครั้งแรก

อินเดียหนักเจอภาษีร้อยละ 25 บวก "ค่าปรับรัสเซีย"
สถานการณ์กับอินเดียกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ปธน.ทรัมป์ ได้เพิ่มแรงกดดันต่ออินเดีย โดยตั้งคำถามถึงโอกาสในการบรรลุข้อตกลงกับคู่ค้าสำคัญรายนี้ เพียงไม่กี่วันก่อนเส้นตายภาษี ในโพสต์บน Truth Social ทรัมป์ได้โจมตีอุปสรรคทางการค้าของอินเดียอย่างรุนแรง และพุ่งเป้าไปที่การพึ่งพาน้ำมันรัสเซียและยุทโธปกรณ์ทางทหารของอินเดีย เขาขู่ว่าจะเรียกเก็บภาษีร้อยละ 25 สำหรับการนำเข้าสินค้าจากอินเดียทั้งหมด และยังขู่ว่าจะเรียกเก็บ "ค่าปรับ" เพิ่มเติม เพื่อตอบโต้การซื้อพลังงานของอินเดีย
ทรัมป์ระบุว่า โปรดจำไว้ว่า ในขณะที่อินเดียเป็นมิตรของสหรัฐฯ แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สหรัฐฯ ทำการค้ากับอินเดียค่อนข้างน้อย เพราะภาษีของอินเดียสูงเกินไป สูงที่สุดในโลก และอินเดียมีอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ตัวเงินที่เข้มงวดและน่ารังเกียจที่สุดในบรรดาประเทศใด ๆ ทรัมป์ยังเสริมว่า นอกจากนี้ อินเดียมักจะซื้อยุทโธปกรณ์ทางทหารส่วนใหญ่จากรัสเซียเสมอ และเป็นผู้ซื้อพลังงานรายใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ร่วมกับจีน ในช่วงเวลาที่ทุกคนต้องการให้รัสเซียหยุดการสังหารในยูเครน – ทั้งหมดนี้ไม่ดีเลย !

การเพิ่มระดับภาษีของทรัมป์ครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากการทำข้อตกลงกับคู่ค้าสำคัญรายอื่น ๆ เช่น ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป ซึ่งกำหนดเกณฑ์ภาษีพื้นฐานไว้ที่ร้อยละ 15 - 20 และรวมถึงคำมั่นสัญญาที่จะขยายการเข้าถึงตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ของสหรัฐฯ และพันธกรณีการลงทุนจากต่างประเทศ สำหรับอินเดีย นี่ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่ในการพยายามบรรลุข้อตกลงที่เจ้าหน้าที่เชื่อว่าใกล้จะเสร็จสิ้นมานานหลายเดือน
เควิน แฮสเซ็ตต์ ผู้อำนวยการสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ กล่าวที่ทำเนียบขาวเมื่อวันพุธที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมาว่า คิดว่า ปธน.ทรัมป์ รู้สึกไม่พอใจกับความคืบหน้าที่สหรัฐฯ ได้ทำกับอินเดีย แต่รู้สึกว่าภาษีร้อยละ 25 จะจัดการและแก้ไขสถานการณ์ในทางที่ดีสำหรับชาวอเมริกัน แฮสเซ็ตต์เชื่อว่าภาษีต่ออินเดียอาจทำให้อินเดียพิจารณาแนวปฏิบัติของสหรัฐฯ ใหม่ และอาจนำไปสู่การที่บริษัทอินเดียย้ายฐานการผลิตมายังสหรัฐฯ หรือเปิดตลาดให้สหรัฐฯ มากขึ้น
พร้อมกันนั้น ทรัมป์ยังได้ยกระดับคำขู่ที่จะใช้มาตรการคว่ำบาตรทุติยภูมิ (Secondary sanctions) ต่อการส่งออกพลังงานของรัสเซีย เพื่อตอบโต้ที่ ปธน.วลาดิเมียร์ ปูติน ปฏิเสธที่จะลดระดับการโจมตีในยูเครน สถานการณ์นี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่ออินเดียและจีนมากที่สุด เนื่องจากเป็นประเทศที่ซื้อผลิตภัณฑ์พลังงานส่วนใหญ่จากรัสเซีย
การนำเข้าน้ำมันของอินเดียจากรัสเซียเพิ่มขึ้นในปีนี้ ทำให้รัสเซียยังคงเป็นซัพพลายเออร์อันดับ 1 ของประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในโลก โดยคิดเป็นประมาณร้อยละ 35 ของอุปทานน้ำมันทั้งหมดของอินเดีย เจ้าหน้าที่ของทรัมป์ได้ส่งสารส่วนตัวไปยังคู่เจรจาว่า คำขู่ที่จะยกระดับมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียอย่างมีนัยสำคัญนั้นควรถูกพิจารณาอย่างจริงจัง และไม่ใช่เพียงกลยุทธ์ในการเจรจาต่อรอง
อ่านข่าวอื่น :
เอาผิดได้หรือไม่ ? เมื่อโรงพยาบาลถูกโจมตีในภาวะสงคราม
รอบแฟซิฟิก ลดระดับเตือนภัยสึนามิ เหตุแผ่นดินไหว 8.8 คัมชัตกา