วันนี้ (1 ส.ค.2568) ปธน.โดนัลด์ ทรัมป์ ออกคำสั่งประธานาธิบดีฉบับใหม่ (Executive Order) ปรับอัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดดุลการค้าสินค้าของสหรัฐฯ ที่ถูกระบุว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจของชาติ คำสั่งนี้ต่อยอดจาก Executive Order 14257 เมื่อวันที่ 2 เม.ย.2568 โดยกำหนดอัตราภาษี ad valorem เพิ่มเติมสำหรับสินค้านำเข้าจากประเทศคู่ค้าทั่วโลก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.2568 ซึ่งแบ่งกลุ่มประเทศตามระดับการขาดดุลการค้าและท่าทีในการเจรจาการค้า
ภาษี ad valorem คือ ภาษีที่คำนวณจากมูลค่าสินค้า โดยคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของราคาสินค้านั้น ๆ เช่น หากสินค้ามีมูลค่า 100 ดอลลาร์และภาษี ad valorem กำหนดที่ร้อยละ 10 ดังนั้น ภาษีที่ต้องจ่ายคือ 10 ดอลลาร์
คำสั่งนี้เกิดจากการพิจารณาการขาดความสมดุลในความสัมพันธ์ทางการค้า เช่น อัตราภาษีที่ไม่เท่าเทียม อุปสรรคที่ไม่ใช่ภาษี และนโยบายเศรษฐกิจของคู่ค้าที่กระทบการผลิตและการส่งออกของสหรัฐฯ ทรัมป์ระบุว่าการขาดดุลการค้าสินค้าทำลายฐานการผลิต ซัปพลายเชน และอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของสหรัฐฯ ภาษีใหม่นี้แบ่งประเทศคู่ค้าตามระดับความร่วมมือในการเจรจาแก้ไขปัญหาการค้า โดยกลุ่มที่ไม่เจรจาหรือไม่ปรับนโยบายจะเผชิญภาษีสูงสุด
- ประเทศที่ระบุในคำสั่งใหม่นี้ จะเผชิญภาษี ad valorem เพิ่มเติมตามอัตราที่กำหนด บางประเทศสูงถึงร้อยละ 41
ประเทศที่ไม่อยู่ในคำสั่้งใหม่ จะเสียภาษีเพิ่มเติมร้อยละ 10 จากคำสั่งเดิม - สหภาพยุโรป (EU) มีเงื่อนไขพิเศษ หากอัตราภาษีเดิมต่ำกว่าร้อยละ 15 ภาษีรวมจะปรับเป็นร้อยละ 15 แต่หากสูงกว่าร้อยละ 15 จะไม่เสียภาษีเพิ่ม
- การขนส่งผ่านแดน (Transshipment) เพื่อเลี่ยงภาษีจะถูกปรับร้อยละ 40 พร้อมบทลงโทษเพิ่มเติม โดยกระทรวงพาณิชย์และความมั่นคงแห่งมาตุภูมิจะเผยแพร่รายชื่อประเทศที่เกี่ยวข้องทุก 6 เดือน
กระทรวงพาณิชย์และผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) จะติดตามผลกระทบและประเมินท่าทีคู่ค้า หากคู่ค้าแสดงความจริงใจในการแก้ไขปัญหาการค้า อาจได้รับการลดหย่อนภาษี ในทางกลับกัน หากมีการตอบโต้สหรัฐฯ อาจมีการปรับเพิ่มภาษี
สำหรับประเทศจีน ยังไม่เสร็จสิ้นการเจรจาภาษี โดย รมว.คลัง สก็อตต์ เบสเซนต์ กล่าวกับ CNBC ว่าจะสรุปให้ ปธน.ทรัมป์ ทราบเกี่ยวกับการหารือกับคณะเจรจาการค้าของจีนเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่ยังต้องพิจารณาคือทรัมป์จะยอมขยายระยะเวลา การพักการซื้อขายที่สูงเป็นประวัติการณ์ออกไปเกินกำหนดเส้นตายวันที่ 12 ส.ค. หรือไม่
รายชื่อประเทศและอัตราภาษี (เรียงจากมากไปน้อย)
เอเชีย
ร้อยละ 41: ซีเรีย
ร้อยละ 35: อิรัก
ร้อยละ 25: อินเดีย, คาซัคสถาน
ร้อยละ 20: บังกลาเทศ, ศรีลังกา, ไต้หวัน
ร้อยละ 19: ปากีสถาน
ร้อยละ 15: อัฟกานิสถาน, อิสราเอล, ญี่ปุ่น, จอร์แดน, เกาหลีใต้, ตุรกี
อาเซียน
ร้อยละ 40: ลาว, เมียนมา
ร้อยละ 25: บรูไน
ร้อยละ 20: เวียดนาม
ร้อยละ 19: กัมพูชา, อินโดนีเซีย, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, ไทย
ร้อยละ 10: สิงคโปร์
ยุโรป
ร้อยละ 39: สวิตเซอร์แลนด์
ร้อยละ 35: เซอร์เบีย
ร้อยละ 30: บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา
ร้อยละ 25: มอลโดวา
ร้อยละ 15: ไอซ์แลนด์, ลิกเตนสไตน์, มาซิโดเนียเหนือ, นอร์เวย์
ร้อยละ 0-15 (เงื่อนไขพิเศษ): สหภาพยุโรป (หากภาษีเดิมต่ำกว่าร้อยละ 15 ปรับเป็นร้อยละ 15 หากสูงกว่าร้อยละ 15 ไม่เก็บเพิ่ม)
ร้อยละ 10: สหราชอาณาจักร
แอฟริกา
ร้อยละ 30: แอลจีเรีย, ลิเบีย, แอฟริกาใต้
ร้อยละ 25: ตูนิเซีย
ร้อยละ 15: แองโกลา, บอตสวานา, แคเมอรูน, ชาด, โกตดิวัวร์, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก, อิเควทอเรียลกินี, กานา, เลโซโท, มาดากัสการ์, มาลาวี, มอริเชียส, โมซัมบิก, นามิเบีย, ไนจีเรีย, ยูกันดา, แซมเบีย, ซิมบับเว
อเมริกา
ร้อยละ 18: นิการากัว
ร้อยละ 15: โบลิเวีย, คอสตาริกา, เอกวาดอร์, กายอานา, ตรินิแดดและโตเบโก, เวเนซุเอลา
ร้อยละ 10: บราซิล, หมู่เกาะฟอล์กแลนด์
โอเชียเนีย
ร้อยละ 15: ฟิจิ, นาอูรู, นิวซีแลนด์, ปาปัวนิวกินี, วานูอาตู
ที่มา : The White House
อ่านข่าวเพิ่ม :
"ทรัมป์" ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% เท่ากัมพูชา มาเลเซีย มีผล 1 ส.ค.
ทรัมป์ปักหมุดภาษีใหม่ เกาหลีใต้ลดเหลือ 15% อินเดียเจอ 25%