ค้นหา
ทีวีออนไลน์
เว็บไซต์ในเครือ
เว็บไซต์บริการ

ปิดคดี "น้องชมพู่" ฉีกหน้ากาก "ลุงพล" ไขปม "ฆาตกรรมอำพราง"

อาชญากรรม
14:41
619
ปิดคดี "น้องชมพู่" ฉีกหน้ากาก "ลุงพล" ไขปม "ฆาตกรรมอำพราง"
อ่านให้ฟัง
08:01อ่านข่าวให้ฟังโดย Botnoi Voice เว็บแอปพลิเคชันสำหรับสร้างเสียงจากข้อความด้วย AI (Text to Speech)

คดีนี้แม้ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติ การณ์แวดล้อมคดีใกล้ชิดกับเวลา และสถานที่เกิดเหตุแล้วเชื่อว่า ผู้ตายไม่อาจเดินไปบนยอดเขาภูเหล็กไฟที่พบศพได้ด้วยตนเองแน่ ไม่ได้ถอดเสื้อ กางเกงของตนเอง แต่มีคนร้ายพาตัวขึ้นไป ตัดผม ถอดเสื้อผ้า และกางเกงของผู้ตายออก เพื่ออำพรางคดี

คดีฆาตกรรม "น้องชมพู่" เด็กหญิงวัย 3 ขวบ ที่หายตัวจากบ้านพัก ขณะนั่งเล่นกับพี่สาว ในพื้นที่บ้านกกกอก ต.กกตูม อ.ดงหลวง จ.มุกดาหาร เมื่อช่วงเช้าวันที่ 11 พ.ค. 2563 กลายเป็นคดีดังที่ได้รับความสนใจจากสังคมมายาวนาน กว่าจะผ่านขั้นตอนต่างๆ ตามหลักกระบวนการยุติธรรม จนถึงการพิจารณาในชั้นศาล ใช้เวลานานถึงกว่า 5 ปี

ตลอดเส้นทางของคดีนี้มีเรื่องราวต่าง ๆ เกิดขึ้นอย่างมากมาย ถือเป็นบทเรียนสำคัญของ "สื่อมวลชน" แม้ช่วงเวลาดังกล่าว ยังหาตัวฆาตกรไม่ได้ ขณะที่ตำรวจพยาพยามเร่งคลี่ปมปริศนาอย่างต่อเนื่อง ใช้เวลาสอบปากคำพยานและผู้ต้องสงสัยจำนวนมาก

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า น้องชมพู่ อาจถูกล่อลวงออกมาจากบ้าน เนื่องจากพื้นที่ป่าบริเวณที่พบร่าง เป็นไปได้ยากที่เด็กวัย 3 ขวบ จะเดินขึ้นมาเองได้ ก่อนที่จะคุมผู้ต้องสงสัยไปสอบ

แต่ "ไชย์พล วิภา" หรือ ลุงพล สามีของ "สมพร หลาบโพธิ์" หรือ ป้าแต๋น ซึ่งเป็นลุงเขยและป้าของน้องชมพู่ กลับเป็นบุคคลที่ได้รับความสนใจจากสื่อ กลายเป็นคนดัง มีรายได้จากโฆษณา รีวิวสินค้า คัฟเวอร์เพลงกับนักร้องคนดัง มีแฟนคลับเปย์ ทั้ง ๆที่ เขาเป็นบุคคลหนึ่งที่พนักงานสอบสวนพบ มีพิรุธและข้อน่าสงสัยมากที่สุด

ขณะที่ครอบครัววงผู้สูญเสีย "อนามัย-สาวิตรี วงศ์ศรีชา"พ่อ-แม่ของน้องชมพู่ กลับไม่ได้รับความสนใจมากกว่าที่ควรจะเป็น และได้ตั้งข้อสงสัย "ลุงพล"พี่เขย ตั้งแต่วันที่เข้าไปพบน้องชมพู่เป็นคนแรก ในวันนั้นลุงพลแสดงอาการฟูมฟาย ร่ำให้เสียใจ และยืนยันว่า รักหลานเหมือนลูกตัวเอง ไม่ได้เป็นคนฆ่าหลาน และยังสวนกลับด้วยการข้อสังเกตพ่อ-แม่น้องชมพู่ ต่อกรณีการปล่อยให้ลูกสาวหายตัวไป

เดือนตุลาคม 2563 พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ในขณะนั้นแถลงความคืบหน้าคดีน้องชมพู่ หลังพนักงานสอบสวนทำการสอบปากพยานและผู้ต้องสงสัยจำนวน 384 ปาก และนำเข้าสำนวนคดี 120 ปาก มีการเก็บพยานวัตถุ 113 ชิ้น เป็นพยานในที่เกิดเหตุ 16 ชิ้น ตรวจ DNA จำนวน 154 ตัวอย่าง

พนักงานสอบสวนในคดีสันนิษฐานว่า ด้วยวัยเพียง 3 ขวบ "น้องชมพู่" ไม่สามารถเดินขึ้นเขาภูเหล็กไฟได้ด้วยตัวเอง ในที่เกิดเหตุพบเส้นผมน้องชมพู่ 36 เส้น ถูกตัด หรือเฉือน คาดว่า เด็กไม่สามารถตัดผมตัวเองได้ และช่วงระหว่างเสียชีวิตอาจคาบเกี่ยวเวลา 14.30 น. ของวันที่ 12 พ.ค. ถึงเวลา 14.30 น. ของวันที่ 13 พ.ค.2563

ต่อมาตำรวจได้นำพยานและผู้ต้องสงสัยและผู้เกี่ยวข้องเข้าเครื่องจับเท็จ และในภายหลังมีรายงานระบุว่า พบหลักฐานบางอย่าง ก่อนจะออกหมายจับ "ลุงพล"

อ่านข่าว "คำพิพากษา" คดีน้องชมพู่ ศาลฎีกาชี้คดีร้ายแรง-โทษหนัก ไม่ให้ประกันตัว "ลุงพล"

ปี 2564 อัยการจังหวัดมุกดาหาร สั่งฟ้อง "ลุงพล" และ "ป้าแต๋น" โดยมีการนัดสืบพยาน ฝ่ายโจทก์ และฝ่ายจำเลย

วันที่ 20 ธ.ค. 2566 ศาลจังหวัดมุกดาหาร นัดฟังคำพิพากษาคดีน้องชมพู่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ลุงพล (จำเลยที่1) มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291,317 วรรคแรก ฐานกระทํา โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จําคุก 10 ปี ฐานพรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดา โดยปราศจากเหตุอันสมควร จําคุก 10 ปี และยกฟ้องป้าแต๋น (จำเลย)

คดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ชี้ว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้ เป็นการรวบรวมพยาน หลักฐานไปตามอำนาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่ามีการปั้นแต่งพยานหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้ายผู้ใดโดยไม่มีมูลความจริง

ศาล ยังระบุอีกว่า คดีนี้ ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แวดล้อมคดีใกล้ชิดกับเวลาและสถานที่เกิดเหตุแล้ว เชื่อว่า ผู้ตายไม่อาจเดินไปบนยอดเขาภูเหล็กไฟที่พบศพได้ด้วยตนเองเป็นแน่ และไม่ได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนเองออก แต่มีคนร้ายพาตัวผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ และตัดผมผู้ตาย รวมถึงถอดเสื้อผ้าและกางเกงของผู้ตายออกเพื่ออำพรางคดี

และเมื่อพิจารณาประกอบกับการที่มีพยานแวดล้อมเห็น "ลุงพล" จำเลยที่ 1 อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อีกทั้งพยานหลักฐานที่ได้รับการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ยังบ่งชี้ว่า รอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนที่อยู่ในรถยนต์ของจำเลยที่ 1 มีองศาเดียวกันกับรอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนบริเวณที่พบศพผู้ตาย คือ มีรอยเฉียง 26 องศา เท่ากัน

ครอบครัวของโจทก์ร่วมทั้งสอง (พ่อ-แม่ น้องชมพู่) กับจำเลยทั้งสอง (ลุงพล-ป้าแต๋น) เคยมีสาเหตุไม่พอใจกันมาก่อน ประกอบกับพยานหลักฐานอื่น ๆ เห็นว่า ลุงพล มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยเล็งเห็นผล พยานหลักฐานที่นำสืบ มีพิรุธหลายประการ ข้อต่อสู้ ยังไม่เพียงพอให้รับฟังหักล้าง ส่วนป้าแต๋น พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีข้อสงสัยตามสมควรให้ "ยกฟ้อง"

ขณะเดียวกัน ศาลยังพิพากษาแก้ว่า ลุงพล มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ทอดทิ้งเด็กเป็นเหตุให้เด็กถึงแก่ความตาย ฐานพรากเด็ก และฐานร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น รวมจำคุก 26 ปี และให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่แม่น้องชมพู่ เป็นเงิน 1,350,000บาท และพ่อน้องชมพู่เงิน 1,200,000 บาทช

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากคดีดังกล่าว ศาลเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อความรู้สึกด้านลบต่อสังคม และศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้มีคำสั่งจำคุก "ลุงพล" จำนวน 26 ปี ถือเป็นโทษสถานหนัก หากปล่อยชั่วคราวอาจหลบหนี จึงยกคำร้องไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวในระหว่างฎีกา

ด้วยคำวินิจฉัยของศาลอย่างรอบด้าน จึงถือเป็นการปิดฉากคดี "น้องชมพู่" และ "ลุงพล" ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมอำพราง และอินฟลู ฯ ที่โด่งดังจากการสร้างกระแสของสื่อในขณะนั้นไปโดยปริยาย

 อ่านข่าว

"โนนหมากมุ่น-หนองจาน" แนวตั้งรับตะวันออก ป้อง "เขมร" ล้ำไทย

ชิงที่ดินรัฐ “เขากระโดง” ศึกรบ (การเมือง) “เพื่อไทย-ภูมิใจไทย”

ไร้ทางรอด-หมดตัวเลือก "อวสาน" เพื่อไทย "แพทองธาร-ชัยเกษม"